โรคหัวใจ สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของไทย

        โรคหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายอันดับต้น ๆ ของคนไทย และมีหลายประเภทที่เป็นอันตราย เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary artery disease) ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart failure) และโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (Heart attack) โดยสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจมักเกิดจากการสะสมของคราบไขมันและหินปูนในหลอดเลือดแดง (Atherosclerosis) ซึ่งทำให้หลอดเลือดตีบแคบและขัดขวางการไหลเวียนของเลือดไปยังหัวใจ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ ได้แก่ :-
  1. การสูบบุหรี่ – ทำให้หลอดเลือดแข็งและเพิ่มความดันโลหิต
  2. ความดันโลหิตสูง – ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดตีบ
  3. ไขมันในเลือดสูง – ส่งผลให้เกิดการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด
  4. เบาหวาน – น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานอาจทำลายเส้นเลือดและระบบหมุนเวียน
  5. ขาดการออกกำลังกาย – ทำให้หัวใจและหลอดเลือดอ่อนแอ
  6. ความเครียด – ส่งผลต่อความดันโลหิตและการทำงานของหัวใจ

ประเภทของโรคหัวใจ

      โรคหัวใจเป็นกลุ่มของภาวะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาการที่บ่งชี้ของโรคหัวใจจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของโรคหัวใจที่เป็น อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นจากการที่หัวใจไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หรือเกิดความเสียหายที่ส่งผลต่อระบบหมุนเวียนเลือดของร่างกาย โดยสามารถแบ่งประเภทของโรคหัวใจและอาการบ่งชี้ได้ดังนี้::

  1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
    หรือบางครั้งเรียกว่า โรคหัวใจขาดเลือด เกิดจากการสะสมของไขมันหรือคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและเลือดไม่สามารถไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้หัวใจไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ สาเหตุหลักมักเกิดจากการกินอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ และการไม่ออกกำลังกาย ซึ่งอาการที่พบได้บ่อยคือ
    • เจ็บหน้าอก เป็นอาการปวดหรือกดทับบริเวณกลางหน้าอกหรือด้านซ้ายของร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นเมื่อออกแรงมากๆ หรือมีความเครียด
    • หายใจลำบาก มักเกิดขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้แรงหรือหลังจากการกินอาหารหนัก
    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ บางครั้งผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ
    • อาการเมื่อยล้า รู้สึกเหนื่อยมากเมื่อออกแรงน้อยหรือไม่ได้ทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก

  2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม
    โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อมเป็นภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจมีความผิดปกติ ทำให้หัวใจไม่สามารถบีบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักเกิดจากการอักเสบ การใช้แอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการติดเชื้อไวรัส กล้ามเนื้อหัวใจที่อ่อนแอลงจะส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้ดี อาการมักคล้ายกับภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น
    • เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียและไม่มีแรงทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน
    • เจ็บหน้าอก อาจรู้สึกปวดหรือแน่นบริเวณหน้าอกซ้าย
    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจอาจเต้นเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป
    • หายใจลำบาก รู้สึกอึดอัดเมื่อหายใจหรือไม่สามารถหายใจลึกๆ ได้

  3. โรคลิ้นหัวใจ
    ลิ้นหัวใจมีหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือดในห้องหัวใจ หากลิ้นหัวใจเกิดการเสื่อมหรือมีปัญหา เช่น ลิ้นหัวใจรั่วหรือแคบ จะทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้อย่างปกติ โรคนี้อาจเกิดจากการติดเชื้อหรือความผิดปกติที่เกิดตั้งแต่กำเนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงหรือเร็วเกินไป
    • หายใจไม่อิ่ม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ใช้แรงมาก เช่น การเดินขึ้นบันได
    • เวียนหัวหรือหมดสติ อาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองไม่เพียงพอ
    • เจ็บหน้าอก โดยเฉพาะในช่วงที่หัวใจต้องทำงานหนักมากขึ้น

  4. โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ
    โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นภาวะที่เยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งเป็นเยื่อบางที่ล้อมรอบหัวใจ เกิดการอักเสบ สาเหตุอาจเกิดจากการติดเชื้อ การบาดเจ็บ หรือโรคภูมิคุ้มกันตนเอง ผู้ป่วยมักมีอาการที่พบบ่อยคือ
    • เจ็บหน้าอกแบบแสบหรือแสบร้อน มักรู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อหายใจเข้าลึกๆ หรือเวลานอนราบ
    • หายใจลำบาก อาจรู้สึกอึดอัดและมีอาการหายใจไม่สะดวก
    • ไข้และอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามร่างกาย และรู้สึกอ่อนเพลีย
    • อาการบวมที่ขาและข้อเท้า เกิดจากการสะสมของของเหลวรอบๆ เยื่อหุ้มหัวใจ

  5. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นภาวะที่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะปกติ อาจเต้นช้าหรือเร็วเกินไป หรืออาจเต้นไม่สม่ำเสมอ สาเหตุของภาวะนี้อาจเกิดจากการเสื่อมของระบบไฟฟ้าของหัวใจหรือปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูงหรือโรคเบาหวาน อาการบ่งชี้ที่พบได้บ่อยคือ
    • หัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป อาจรู้สึกว่าใจสั่นเหมือนหัวใจเต้นแรงในบางครั้ง หรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นช้าจนมีอาการอ่อนเพลีย
    • หมดสติ บางคนอาจเป็นลมหรือหมดสติเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
    • เวียนหัว มักเกิดขึ้นเมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรงจนทำให้สมองขาดเลือดชั่วคราว
    • หายใจลำบาก เป็นอาการที่พบเมื่อหัวใจเต้นผิดจังหวะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด

  6. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
    โรคนี้เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดและส่งผลต่อโครงสร้างของหัวใจ บางคนอาจมีหัวใจผิดปกติตั้งแต่เล็กๆ แต่ไม่เคยแสดงอาการจนกระทั่งโตขึ้น หรือบางรายอาจต้องการการรักษาตั้งแต่อายุยังน้อย ความผิดปกตินี้อาจเกิดจากการพัฒนาผิดพลาดในระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุอาจเกิดจากพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม เช่น การติดเชื้อของมารดาระหว่างการตั้งครรภ์ อาการบ่งชี้ของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง เช่น
    • เจ็บหน้าอก อาการเจ็บหน้าอกมักเกิดขึ้นเมื่อใช้แรงมาก
    • หายใจลำบาก มักหายใจลำบากเมื่อออกกำลังกายหรือใช้แรงมากๆ
    • ผิวสีเขียวคล้ำ บางคนอาจมีผิวหนังที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือม่วงเนื่องจากขาดออกซิเจน
    • เติบโตช้า เด็กที่มีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมักมีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าเด็กทั่วไป

  7. โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ
    เป็นภาวะที่เชื้อโรคเข้าไปทำลายเยื่อบุด้านในของหัวใจ โดยเฉพาะที่ลิ้นหัวใจ ทำให้เกิดการอักเสบและอาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากแบคทีเรีย เชื้อรา หรือไวรัส แต่สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือการติดเชื้อแบคทีเรีย
    • เจ็บหน้าอก เป็นอาการปวดหรือกดทับบริเวณกลางหน้าอกหรือด้านซ้ายของร่างกาย อาการมักเกิดขึ้นเมื่อออกแรงมากๆ หรือมีความเครียด
    • หายใจลำบาก มักเกิดขึ้นเมื่อทำกิจกรรมที่ใช้แรงหรือหลังจากการกินอาหารหนัก
    • หัวใจเต้นผิดจังหวะ บางครั้งผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ
    • อาการเมื่อยล้า รู้สึกเหนื่อยมากเมื่อออกแรงน้อยหรือไม่ได้ทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานมาก

  8. โรคหัวใจล้มเหลว
    โรคหัวใจวายเป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หายใจลำบาก และบวมน้ำที่ขาหรือข้อเท้า โรคนี้มักเกิดจากภาวะหัวใจอื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือความดันโลหิตสูง อาการสำคัญของภาวะหัวใจล้มเหลวคือ
    • หายใจติดขัด อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาหรือเฉพาะเมื่ออยู่ในท่านอน เนื่องจากการสะสมของของเหลวในปอด
    • บวมที่ขาและข้อเท้า เกิดจากการสะสมของของเหลวที่ไม่สามารถไหลกลับสู่หัวใจได้ดีพอ
    • เหนื่อยง่าย รู้สึกไม่มีแรงแม้กระทั่งในการทำกิจกรรมเบาๆ หรือในชีวิตประจำวัน
    • ท้องอืดและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากของเหลวสะสมในช่องท้องทำให้เกิดอาการแน่นท้อง


ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

สัญญาณเตือนการเกิดโรคหัวใจ

       โรคหัวใจเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญทั่วโลก และเนื่องจากอาการของโรคหัวใจมักไม่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงแรก ๆ หลายคนจึงไม่ทันระวังหรือสังเกตถึงความเสี่ยงที่ตนเองอาจเผชิญ การเข้าใจสัญญาณเตือนและอาการเบื้องต้นของโรคหัวใจสามารถช่วยให้ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้


  1. อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก
    อาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอกเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนที่พบได้บ่อยเมื่อหัวใจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง ซึ่งอาจรู้สึกเหมือนมีความกดดันหรือบีบคั้นบริเวณกลางหน้าอกหรือที่ไหล่ซ้าย อาการนี้มักเกิดขึ้นระหว่างการออกแรงหรือมีความเครียด และบรรเทาลงเมื่อหยุดพัก อย่างไรก็ตาม การเจ็บหน้าอกอาจไม่รุนแรงหรือหายไปเอง ทำให้หลายคนมองข้าม แต่หากมีการเจ็บหน้าอกแบบเฉียบพลันที่ไม่บรรเทาลง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

  2. หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย
    อาการหายใจไม่สะดวกหรือหอบเหนื่อยเมื่อทำกิจกรรมที่เคยทำได้ปกติ เช่น การเดินขึ้นบันได การออกกำลังกายเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าเลือดไปเลี้ยงปอดไม่เพียงพอซึ่งเป็นผลจากภาวะหัวใจล้มเหลว การสะสมของน้ำหรือของเหลวในปอดเนื่องจากหัวใจทำงานไม่เต็มที่ทำให้เกิดการหายใจเหนื่อยหอบ การสังเกตว่าหายใจลำบากแม้จะพักผ่อนอยู่เฉย ๆ ก็เป็นสัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม

  3. เหนื่อยง่ายและอ่อนเพลีย
    ความเหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียเป็นอาการที่คนทั่วไปอาจไม่เชื่อมโยงกับโรคหัวใจ แต่ความเหนื่อยง่ายผิดปกติแม้จะทำกิจกรรมเล็กน้อย เช่น การเดินหรือทำงานบ้าน อาจเป็นสัญญาณว่าเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ ภาวะนี้อาจส่งผลให้หัวใจทำงานหนักเกินความสามารถ จนไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ความเหนื่อยเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและต่อเนื่อง

  4. อาการวิงเวียนศีรษะหรือหมดสติ
    ความรู้สึกเวียนศีรษะหรือหน้ามืดบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเกิดจากภาวะหัวใจที่ไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากหัวใจเต้นผิดปกติหรืออัตราการเต้นของหัวใจช้าเกินไปหรือเร็วเกินไป หากมีอาการวิงเวียนศีรษะบ่อยครั้งโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน หรือเคยหมดสติโดยฉับพลัน หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจเสี่ยงต่อการหมดสติหรือแม้กระทั่งเกิดภาวะหัวใจวายได้

  5. เหงื่อออกมากผิดปกติ
    หากมีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่ได้ออกกำลังกายหรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อน เช่น เหงื่อออกขณะนั่งพักหรือในที่อากาศเย็น อาจเป็นสัญญาณบ่งถึงการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน การที่หัวใจทำงานหนักเกินไปในการพยายามสูบฉีดเลือดให้ทั่วร่างกาย หากอาการเหงื่อออกที่เกิดขึ้นพร้อมกับเจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบากควรให้ความสำคัญและรีบปรึกษาแพทย์

  6. ปวดร้าวไปยังส่วนอื่นของร่างกาย
    นอกจากอาการเจ็บหน้าอกแล้ว บางครั้งอาการปวดจากโรคหัวใจอาจแผ่ไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ไหล่ซ้าย แขน คอ ขากรรไกร หรือแม้กระทั่งหลังส่วนบนโดยไม่ทราบสาเหตุ การปวดแบบนี้อาจไม่รุนแรงหรือเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจ แต่หากมีอาการปวดร้าวร่วมกับการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ อาการปวดนี้มักจะเกิดขึ้นเนื่องจากเส้นประสาทที่เชื่อมโยงกันระหว่างหัวใจกับบริเวณเหล่านี้

  7. ใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ
    อาการใจสั่นหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบไฟฟ้าภายในหัวใจ ภาวะนี้อาจทำให้หัวใจเต้นช้าหรือเร็วเกินไป หรือในบางกรณี หัวใจอาจหยุดเต้นชั่วขณะ การที่หัวใจเต้นผิดจังหวะจะทำให้การสูบฉีดเลือดไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

  8. บวมที่ขาและข้อเท้า
    อาการบวมบริเวณขา ข้อเท้า หรือเท้าเป็นผลจากการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปยังส่วนล่างของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง และเกิดการสะสมของของเหลว อาการบวมอาจมาพร้อมกับความรู้สึกหนักหรืออึดอัดที่ขา ซึ่งอาการบวมนี้เป็นสัญญาณว่าเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ซึ่งร่างกายไม่สามารถจัดการกับของเหลวที่สะสมได้

  9. เบื่ออาหารและคลื่นไส้
    ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรืออาหารไม่ย่อยบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อทานอาหารเพียงเล็กน้อยแล้วรู้สึกอิ่มผิดปกติ มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นปัญหาทางกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากหัวใจไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงระบบย่อยอาหารได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการขาดออกซิเจนในบริเวณนั้น มักเกิดขึ้นในผู้ที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องอืดหรือไม่สบายท้องร่วมด้วย