ระบบภูมิคุ้มกันคืออะไร..?
ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) คือกลไกป้องกันตัวเองของร่างกาย ที่ทำหน้าที่ในการต่อสู้และป้องกันเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และสารพิษที่อาจทำให้เกิดโรคหรือความเสียหายต่อร่างกาย ระบบนี้เป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน ประกอบด้วยเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะหลายส่วนที่ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันและกำจัดสิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพ
ประเภทของภูมิคุ้มกัน
- ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate immunity)
เป็นส่วนของระบบภูมิคุ้มกันที่เรามีมาตั้งแต่กำเนิด และทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันด่านแรกเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เช่น ผิวหนัง น้ำตา น้ำลาย และกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งมีหน้าที่ในการป้องกันและทำลายเชื้อโรคที่เข้ามาโดยทันที นอกจากนี้ยังมีกลุ่มเซลล์เม็ดเลือดขาวบางประเภท เช่น แมคโครฟาจ และ นิวโตรฟิล ที่สามารถทำลายเชื้อโรคได้อย่างรวดเร็ว
- ภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะ (Adaptive immunity)
เป็นระบบที่พัฒนาเมื่อเราสัมผัสกับเชื้อโรคหรือสารแปลกปลอม และสร้าง “หน่วยความจำ” เพื่อที่จะสามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วหากพบกับสิ่งแปลกปลอมนั้นอีกในอนาคต ระบบนี้เกี่ยวข้องกับเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก คือ “เซลล์ B” ที่สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านเชื้อโรค และ “เซลล์ T” ที่สามารถทำลายเซลล์ติดเชื้อหรือช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวอื่นๆ
องค์ประกอบต่างๆ ของระบบภูมิคุ้มกัน
ระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) เป็นกลไกสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่ป้องกันและต่อสู้กับเชื้อโรค โดยระบบนี้ประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันและตอบสนองต่อการโจมตีจากภายนอก ได้แก่
- เม็ดเลือดขาว
เม็ดเลือดขาวเป็นเซลล์หลักในระบบภูมิคุ้มกันที่ทำหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยแบ่งออกเป็นหลายประเภทที่มีบทบาทแตกต่างกัน ได้แก่
- นิวโทรฟิล : ทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการต่อสู้กับเชื้อโรค โดยการกลืนกินเชื้อโรคและทำลายมันด้วยเอนไซม์ที่อยู่ภายในเซลล์
- ลิมโฟไซต์ : ประกอบด้วยสองประเภทหลัก
- บีเซลล์ (B cells) : สร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านเชื้อโรคเฉพาะชนิด
- ทีเซลล์ (T cells) : ช่วยทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อและควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
- มาโครฟาจ (Macrophages) : ทำหน้าที่กลืนกินเชื้อโรคและเศษซากเซลล์ที่เสียหาย นอกจากนี้ยังช่วยส่งสัญญาณให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ มาทำงานร่วมกัน
- แอนติบอดี
แอนติบอดีเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยบีเซลล์ มีบทบาทสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจง โดยแอนติบอดีจะจับตัวกับแอนติเจน (antigen) ซึ่งเป็นสารที่พบในเชื้อโรค เช่น โปรตีนของไวรัส หรือสารพิษของแบคทีเรีย เพื่อทำให้เชื้อโรคนั้นไม่สามารถทำอันตรายต่อเซลล์ในร่างกายได้ แอนติบอดีบางชนิดยังช่วยส่งสัญญาณให้เซลล์ภูมิคุ้มกันอื่นๆ มาจัดการกับเชื้อโรคนั้นอย่างมีประสิทธิภาพ
อวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบภูมิคุ้มกัน
อวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบภูมิคุ้มกันมีหน้าที่ในการสร้างและพัฒนาเซลล์ภูมิคุ้มกัน รวมถึงกรองและกำจัดเชื้อโรค ได้แก่
- ไขกระดูก เป็นแหล่งผลิตเม็ดเลือดขาวทุกชนิด โดยเฉพาะบีเซลล์ ซึ่งจะพัฒนาและสร้างแอนติบอดีในไขกระดูกก่อนจะปล่อยออกสู่กระแสเลือด
- ต่อมน้ำเหลือง เป็นที่ตั้งของเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ ทำหน้าที่กรองและดักจับเชื้อโรคที่ผ่านมากับน้ำเหลือง เม็ดเลือดขาวในต่อมน้ำเหลืองจะช่วยทำลายเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย
- ม้าม มีบทบาทในการกรองเลือด ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อยู่ในกระแสเลือด รวมถึงทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ
- ไทมัส เป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและฝึกฝนทีเซลล์ เพื่อให้สามารถรู้จักและโจมตีเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อมีเชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองทันทีโดยใช้เม็ดเลือดขาวบางชนิด เช่น นิวโทรฟิลและมาโครฟาจ ในการกลืนกินและทำลายเชื้อโรค จากนั้นระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะเจาะจงจะเริ่มทำงาน บีเซลล์จะสร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านเชื้อโรคนั้น ส่วนทีเซลล์จะทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อเพื่อป้องกันการแพร่กระจาย นอกจากนี้อวัยวะต่างๆ เช่น ไขกระดูกและต่อมน้ำเหลือง จะทำหน้าที่สนับสนุนกระบวนการนี้
หน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกัน
- ป้องกันการติดเชื้อ
ระบบภูมิคุ้มกันจะคอยตรวจจับเชื้อโรคที่เข้ามาในร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต โดยการตอบสนองในแบบที่รวดเร็วและแม่นยำ
- กำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม
เมื่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันจะปล่อยเซลล์เม็ดเลือดขาวและแอนติบอดีออกมาเพื่อโจมตีและทำลายสิ่งแปลกปลอมนั้น
- จดจำเชื้อโรค
ระบบภูมิคุ้มกันสามารถ "จดจำ" เชื้อโรคที่เคยพบเจอมาแล้วได้ และเมื่อเชื้อโรคนั้นกลับเข้ามาในภายหลัง ระบบจะตอบสนองได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการสร้างภูมิคุ้มกันหลังการฉีดวัคซีน
- ปกป้องร่างกายจากการเจ็บป่วย
ระบบภูมิคุ้มกันยังสามารถตรวจจับและทำลายเซลล์ที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติหรือเซลล์ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง
ระบบภูมิคุ้มกันทั้งสองส่วนทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดจะตอบสนองก่อนเป็นด่านแรก หากไม่สามารถกำจัดสิ่งแปลกปลอมได้ ภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะจะเข้ามาทำงานและจัดการกับเชื้อโรคอย่างจำเพาะเจาะจง
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน ดังนี้
- การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น
- วิตามินซี : มีในผลไม้เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง พริกหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบ
- วิตามินดี : มีในปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง และแสงแดด ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- สังกะสี : มีในอาหารทะเล เนื้อสัตว์ และเมล็ดฟักทอง มีบทบาทในการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย
- โปรตีน : ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันใหม่ อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ เช่น เนื้อสัตว์ ถั่ว และไข่
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น การเดินเร็ว วิ่ง หรือปั่นจักรยาน ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น เพราะการออกกำลังกายจะช่วยให้
- เพิ่มการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ที่ช่วยนำพาเซลล์ภูมิคุ้มกันไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ลดความเครียด ที่เป็นสาเหตุให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
- ช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูเร็วขึ้น หลังจากการเจ็บป่วย
- การพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน เพราะการนอนหลับที่ดี ช่วยให้ร่างกายผลิตสารไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดการอักเสบ และควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันอย่างเต็มที่
- การลดความเครียด
ความเครียดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ การทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิ โยคะ และการออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) และส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น
- การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเสริมภูมิคุ้มกัน โดยผลิตภัณฑ์ที่นิยมใช้มีดังนี้
- วิตามินซี : ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและลดระยะเวลาการเป็นหวัด
- วิตามินดี : ส่งเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยตรง
- โพรไบโอติก : ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
- ซิงค์ : ช่วยสนับสนุนการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันและลดโอกาสการติดเชื้อ
- น้ำมันงาดำ: ช่วยต้านการอักเสบและมีสารเซซามินที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- น้ำมันกระเทียม: มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส ช่วยป้องกันการติดเชื้อ
- หลีกเลี่ยงมลพิษและสารเคมี
การสัมผัสมลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง PM2.5 สารเคมีต่าง ๆ เช่น ยาฆ่าแมลงและสารพิษในสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ร่างกายเสี่ยงต่อการอักเสบและการสะสมสารพิษ ซึ่งสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพคือการผสมผสานการดูแลสุขภาพด้านอาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างสมดุล พร้อมกับการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสม
สัญญาณที่บ่งบอกว่าภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอสามารถแสดงออกในหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถป้องกันตนเองจากเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้คือสัญญาณสำคัญที่คุณควรสังเกตุ
- ป่วยบ่อยครั้งหรือป่วยนานกว่าปกติ
หากเป็นหวัดหรือมีอาการเจ็บคอบ่อยๆ และการฟื้นตัวใช้เวลานานเกินปกติ นี่อาจเป็นสัญญาณว่าระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถจัดการกับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แผลหายช้ากว่าปกติ
ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากแผลเล็กๆ หายช้ากว่าปกติ อาจเป็นเพราะระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถซ่อมแซมเซลล์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- อ่อนเพลียง่าย
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ คุณอาจรู้สึกเหนื่อยล้าบ่อยครั้ง แม้ว่าจะพักผ่อนเพียงพอก็ตาม เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการต่อสู้กับการติดเชื้อและฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกาย
- มีอาการแพ้หรือไวต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
หากคุณเริ่มมีอาการแพ้ง่ายขึ้น เช่น แพ้ฝุ่น อากาศ หรืออาหาร ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรืออาการแพ้ที่คุณมีอยู่แล้วทวีความรุนแรงขึ้น นั่นอาจแสดงถึงความผิดปกติในระบบภูมิคุ้มกัน

ผลกระทบจากภูมิคุ้มกันต่ำ
ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่ช่วยร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอม และโรคต่าง ๆ เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ผลกระทบต่อร่างกายสามารถแบ่งออกเป็นหลายลักษณะ ได้แก่
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือไม่ทำงานอย่างเต็มที่ ร่างกายจะไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายและบ่อยขึ้น เช่น โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัส รวมถึงเชื้อราต่าง ๆ ที่โดยปกติแล้วคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติจะไม่เป็น
ตัวอย่างของโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้แก่
- เอดส์ (AIDS) : เกิดจากไวรัส HIV ที่โจมตีเซลล์ภูมิคุ้มกัน
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องตั้งแต่กำเนิด : เป็นภาวะที่เกิดจากพันธุกรรม ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานไม่ปกติตั้งแต่แรกเกิด
- โรคภูมิคุ้มกันทำงานมากเกินไป
เป็นภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อของตัวเองเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ส่งผลให้เกิดการอักเสบและความเสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ ตัวอย่างโรคในกลุ่มนี้ได้แก่
- #โรคแพ้ภูมิตัวเอง : ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ : ทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อ
- เบาหวานชนิดที่ 1 : ระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ที่ผลิตอินซูลินในตับอ่อน
- ภาวะภูมิแพ้
ภูมิแพ้เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสารที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรืออาหารบางชนิด ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน หอบหืด หรือแม้แต่ช็อกภูมิแพ้ (anaphylaxis) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
ผลกระทบต่อร่างกายทั่วไปจากภูมิคุ้มกันผิดปกติ
- อาการอักเสบเรื้อรัง : ภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานเกินปกติอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคปอด หรือโรคไต
- อ่อนเพลียและซึมเศร้า : เมื่อภูมิคุ้มกันทำงานไม่ดี ร่างกายจะรู้สึกอ่อนแอ มีพลังงานน้อย และทำให้เกิดภาวะเครียดหรือซึมเศร้าได้ง่าย
การดูแลระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างสมดุลจึงสำคัญต่อการรักษาสุขภาพและป้องกันโรค
อาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหลากหลายประเภท โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีบทบาทในการกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันโรคและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในร่างกาย รายละเอียดของอาหารและกลไกการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมีดังนี้
- วิตามินซี (Vitamin C)
- มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม วิตามินซีช่วยเพิ่มการผลิตของเซลล์เม็ดเลือดขาวและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยลดความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อที่ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างผิวหนัง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น
ตัวอย่างอาหาร : ส้ม, มะนาว, ฝรั่ง, สตรอว์เบอร์รี, พริกหวาน, บรอกโคลี
- วิตามินดี (Vitamin D)
- ช่วยกระตุ้นและควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยกระตุ้นเซลล์ T ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการป้องกันและกำจัดเชื้อโรค
- ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างสารต้านจุลชีพ (Antimicrobial Peptides) ที่ช่วยป้องกันเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบของร่างกาย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมดุล
ตัวอย่างอาหาร : ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, นมเสริมวิตามินดี, เห็ด, ไข่แดง
- ซิงค์ (Zinc)
- เป็นแร่ธาตุที่มีบทบาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยในการผลิตและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์ T และ B ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
- ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และช่วยในการสื่อสารระหว่างเซลล์เพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อและป้องกันการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ
ตัวอย่างอาหาร : หอยนางรม, เมล็ดฟักทอง, เนื้อสัตว์, ถั่วเมล็ดแห้ง, ไข่
- วิตามินซี (Vitamin C)
- มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม วิตามินซีช่วยเพิ่มการผลิตของเซลล์เม็ดเลือดขาวและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยลดความเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อที่ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างผิวหนัง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้ดีขึ้น
ตัวอย่างอาหาร : ส้ม, มะนาว, ฝรั่ง, สตรอว์เบอร์รี, พริกหวาน, บรอกโคลี
- โอเมก้า-3 (Omega-3 Fatty Acids)
- กรดไขมันโอเมก้า-3 มีบทบาทในการลดการอักเสบในร่างกายและช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโรค
- ทำงานโดยการปรับสมดุลของสารอักเสบในร่างกาย และช่วยเสริมสร้างการตอบสนองของเซลล์ภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมการทำงานของเซลล์ T และเซลล์ B ที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกัน
ตัวอย่างอาหาร : ปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, วอลนัท, เมล็ดแฟลกซ์, น้ำมันปลา
- โพรไบโอติกส์ (Probiotics)
- โพรไบโอติกส์คือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารและระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างภูมิคุ้มกัน
- ช่วยเสริมสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันในระบบทางเดินอาหาร และช่วยกระตุ้นการผลิตสารที่ป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างอาหาร : โยเกิร์ต, กิมจิ, มิโสะ, เทมเป้, คีเฟอร์
- เบต้าแคโรทีนและวิตามินเอ (Beta-Carotene&Vitamin A)
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และยังเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการรักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุผิวที่เป็นด่านแรกในการป้องกันเชื้อโรค
- เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เบต้าแคโรทีนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยส่งเสริมการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อและการอักเสบของเนื้อเยื่อ
ตัวอย่างอาหาร : แครอท, ฟักทอง, มันหวาน, ผักใบเขียว
- อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ
- สารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการป้องกันความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจะช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
ตัวอย่างอาหาร : ชาเขียว, ผลเบอร์รี่, ถั่วต่าง ๆ, ช็อกโกแลตดำ, ผักสีเข้ม
- วิตามินอี (Vitamin E)
- วิตามินอีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ภูมิคุ้มกันจากความเสียหาย วิตามินอีมีบทบาทในการเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์เม็ดเลือดขาวในการกำจัดเชื้อโรค
- วิตามินอีช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันโดยการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ส่งผลให้เซลล์ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างอาหาร : อัลมอนด์, เมล็ดทานตะวัน, น้ำมันพืช, ผักโขม
สารสกัดจากงาดำ (Black Sesame Extract) มีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากอุดมไปด้วยสารอาหารและสารสำคัญที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนี้
- สารเซซามิน (Sesamin)และเซซาโมลิน (Sesamolin)
งาดำอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะเซซามิน (Sesamin) และเซซาโมลิน (Sesamolin) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอย่างมีประสิทธิภาพ สารต้านอนุมูลอิสระนี้ช่วยลดการอักเสบและป้องกันความเสียหายของเซลล์ จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระที่เกิดจากความเครียด ภาวะเจ็บป่วย หรือมลภาวะ ซึ่งมีผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้นและมีความพร้อมในการป้องกันการติดเชื้อหรือโรคต่างๆ
- กรดไขมันไม่อิมตัวที่จำเป็น
สารสกัดจากงาดำมีกรดไขมันที่มีประโยชน์อย่างโอเมก้า-6 และโอเมก้า-9 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกัน เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดการอักเสบในร่างกาย การอักเสบที่ลดลงมีผลช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ
- วิตามินและแร่ธาตุ
งาดำมีแร่ธาตุที่สำคัญหลายชนิด เช่น สังกะสี (Zinc) และธาตุเหล็ก (Iron) ซึ่งสังกะสีมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวในระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเพิ่มความสามารถในการกำจัดเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อ ส่วนธาตุเหล็กมีส่วนช่วยในการผลิตเม็ดเลือดแดง ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ร่างกายสามารถนำออกซิเจนไปใช้ได้ดีขึ้น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- วิตามินอี (Vitamin E)
วิตามินอีในสารสกัดจากงาดำช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยการป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์และช่วยในการผลิตสารต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
- แคลเซียม
นอกจากเสริมสร้างกระดูกแล้ว แคลเซียมยังช่วยในกระบวนการการทำงานของเซลล์ต่าง ๆ ในระบบภูมิคุ้มกัน รวมถึงการควบคุมการสื่อสารระหว่างเซลล์เม็ดเลือดขาวด้วย
- ช่วยลดการอักเสบ
เซซามินในสารสกัดจากงาดำมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งมีผลดีในการลดการอักเสบภายในร่างกายที่อาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ การลดการอักเสบช่วยให้ร่างกายมีความสมดุลและป้องกันการเกิดโรคเรื้อรังที่อาจเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน