อาการปวดหัวนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่รู้ไหมว่า…เบื้องหลังอาการนี้อาจซ่อน “สัญญาณเตือนโรคร้าย” ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!
- ถ้าเป็น ไมเกรน อาจรบกวนชีวิตประจำวัน แต่ยังควบคุมได้
- แต่ถ้าเป็น ความดันโลหิตสูง แล้วปล่อยไว้นาน อาจเสี่ยงถึงขั้น หลอดเลือดสมองแตก หรือ หัวใจวายเฉียบพลัน
การแยกแยะความแตกต่างของอาการทั้งสองจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก วันนี้เราจะพาทุกคนมาเข้าใจ “ความต่างที่เหมือนจะเล็ก...แต่ส่งผลใหญ่” ระหว่างไมเกรนกับความดัน พร้อมสังเกตตัวเองได้ง่าย ๆ ด้วย
- ลักษณะของอาการปวด
- ไมเกรน
- เป็นอาการปวดหัวชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ คือ ปวดตุบ ๆ คล้ายชีพจร มักปวด “ข้างเดียว” ของศีรษะ เช่น ขมับ หรือรอบเบ้าตา
- ความปวดอาจเริ่มเบาแล้วค่อย ๆ รุนแรงขึ้น
- ในบางรายอาจมี “อาการเตือน” (Aura) เช่น มองเห็นแสงแฟลช แสงวิบวับ หรือมีจุดดำในสายตา ก่อนเริ่มปวดหัว
- ความดันโลหิตสูง
- มักปวดแบบ “หนัก ตื้อ แน่น” ทั่วศีรษะ โดยเฉพาะ ท้ายทอย
- ความรู้สึกเหมือนมีแรงกดอยู่ในหัวตลอดเวลา ไม่ใช่ลักษณะตุบ ๆ แบบไมเกรน
- มักไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า และอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
- ความสัมพันธ์กับกิจกรรม
- ไมเกรน
- อาการปวดหัวจะแย่ลงเมื่อมีการเคลื่อนไหว เช่น เดิน ขึ้นบันได หรือออกกำลังกาย
- มัก “ไวต่อแสงและเสียง” คนที่ปวดไมเกรนมักชอบนอนในห้องมืดเงียบ
- บางรายอาจไวต่อกลิ่นบางชนิด เช่น น้ำหอม หรือกลิ่นอาหาร
- ความดันโลหิตสูง
- อาการปวดไม่ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหว
- แต่อาจ “รุนแรงขึ้น” ถ้าความดันพุ่งสูง เช่น ตอนเครียดจัด หรือตื่นนอนตอนเช้า
- ผู้ป่วยบางคนอาจไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นความดันสูง จนมีอาการปวดหัวและไปวัดความดันจึงพบ
- อาการร่วมอื่น ๆ
- ไมเกรน
- มักมี คลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกไม่อยากอาหาร
- มองเห็นภาพเบลอ หรือเห็นจุดแสง ๆ ก่อนปวด
- อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขนขาในบางกรณี (แต่พบไม่บ่อย)
- ความดันโลหิตสูง
- อาจมีอาการ มึนหัว หน้ามืด ใจสั่น หรือหูอื้อร่วมด้วย
- บางรายอาจรู้สึกหายใจไม่อิ่ม หรือแน่นหน้าอก
- ในกรณีความดันสูงมาก อาจเสี่ยง “เส้นเลือดในสมองแตก” ทำให้เกิดอาการชัก หรือหมดสติได้
- ความถี่และช่วงเวลา
- ไมเกรน
- มักเกิดเป็น “รอบ ๆ” เช่น ทุกเดือน หรือตามรอบประจำเดือนของผู้หญิง
- ปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด การอดนอน กาแฟ ช็อกโกแลต หรืออาหารหมักดอง
- บางรายอาจมีไมเกรนเรื้อรัง ปวดบ่อยเกือบทุกสัปดาห์
- ความดันโลหิตสูง
- อาการปวดหัวจากความดันมักเกิดช่วง “เช้ามืดถึงเช้า” เพราะร่างกายปล่อยฮอร์โมนกระตุ้นความดันในช่วงนี้
- พบมากในผู้ที่ไม่ได้ควบคุมความดัน หรือไม่รู้ตัวว่าเป็น
- หากปล่อยไว้นาน อาจกลายเป็นภาวะเรื้อรังโดยไม่แสดงอาการอื่นชัดเจน