โรคที่พบบ่อยในหน้าฝน

ในช่วงฤดูฝนที่อากาศเย็นชื้นและเต็มไปด้วยน้ำขังตามพื้นที่ต่าง ๆ เป็นช่วงเวลาที่เชื้อโรคและพาหะหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้ประชาชนมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคติดต่อมากขึ้น โดยเฉพาะโรคที่แพร่กระจายง่ายผ่านน้ำ อากาศ และแมลงพาหะต่าง ๆ เช่น ยุง หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอย่างหนู บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 5 โรคที่พบบ่อยในหน้าฝน ซึ่งได้แก่ ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่, ไข้เลือดออก, โรคฉี่หนู, โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และตาแดง พร้อมทั้งอธิบายสาเหตุ อาการ การป้องกัน และวิธีรับมืออย่างละเอียด เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักสามารถดูแลสุขภาพให้ปลอดภัยตลอดฤดูฝนนี้.

โรคข้หวัด และโรคไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ (Common Cold & Influenza)
  • สาเหตุและกลไกของโรค
    • ไข้หวัด (Common cold) เกิดจากไวรัสหลายชนิด เช่น Rhinovirus, Coronavirus, Parainfluenza virus ฯลฯ ซึ่งไวรัสเหล่านี้มักเข้าสู่ร่างกายผ่านทางจมูก ปาก หรือตา แล้วเพิ่มจำนวนในทางเดินหายใจส่วนบน
    • ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากไวรัส Influenza virus โดยเฉพาะสายพันธุ์ A และ B ซึ่งกลายพันธุ์ได้ตลอดเวลา ทำให้ต้องมีวัคซีนใหม่ทุกปี

    • ในฤดูฝน ความชื้นสูงและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เพิ่มโอกาสติดเชื้อ
  • อาการ
    • ไข้หวัด : น้ำมูกใส ไอ เจ็บคอ เสียงแหบ ไม่ค่อยมีไข้สูง
    • ไข้หวัดใหญ่ : ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียมาก ไอแห้ง อาจมีแนวโน้มเป็นหลอดลมอักเสบหรือปอดบวม
  • การแพร่เชื้อ
    • แพร่ผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจาม รวมถึงมือที่สัมผัสเชื้อแล้วไปแตะใบหน้า
    • เชื้อไวรัสสามารถอยู่บนพื้นผิว เช่น ลูกบิดประตู โทรศัพท์มือถือ ได้หลายชั่วโมง
  • การป้องกัน
    • ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลเป็นประจำ
    • สวมหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะในที่แออัด
    • ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง (เด็ก ผู้สูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว)
  • การรักษา
    • ไข้หวัดทั่วไป: พักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานยาลดไข้หรือยาแก้ไอตามอาการ
    • ไข้หวัดใหญ่: หากได้รับยาต้านไวรัส (เช่น Oseltamivir) ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ จะลดความรุนแรงและระยะเวลา
โรคไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก (Dengue Fever)
  • สาเหตุและกลไกของโรค
    • เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) มี 4 สายพันธุ์ (DEN-1 ถึง DEN-4)
    • ติดต่อผ่านยุงลาย (Aedes aegypti) ซึ่งมักกัดเวลากลางวัน ยุงติดเชื้อจากการดูดเลือดคนที่มีเชื้อ แล้วแพร่ต่อไปยังคนอื่น
    • หากติดเชื้อเดงกีมากกว่า 1 ครั้ง มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะ “ไข้เลือดออกรุนแรง (Dengue hemorrhagic fever)” เพราะร่างกายตอบสนองทางภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  • อาการ
    • ไข้สูงเฉียบพลันโดยไม่มีสาเหตุ
    • ปวดศีรษะมาก ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อและข้อ (เรียกว่า Breakbone fever)
    • ผื่นแดง จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล
    • ในรายที่รุนแรง: อาเจียนมาก ปัสสาวะน้อย ความดันต่ำ มือเท้าเย็น มีภาวะช็อก และเลือดออกภายใน
  • การวินิจฉัย
    • ตรวจเลือดเพื่อดูจำนวนเกล็ดเลือด, ฮีมาโตคริต และการตรวจเชื้อ NS1 antigen หรือ PCR
  • การป้องกัน
    • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง: คว่ำภาชนะเก็บน้ำ, ใส่ทรายอะเบท, ปิดฝาถังน้ำ
    • ใช้มุ้ง, ทายากันยุง, สวมเสื้อแขนยาว
  • การรักษา
    • ไม่มียารักษาเฉพาะ ต้องรักษาตามอาการ
    • ห้ามใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน เพราะเสี่ยงเลือดออก
    • ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงไข้ลดลง (ระยะวิกฤต)
โรคฉี่หนู
โรคฉี่หนู (Leptospirosis)
  • สาเหตุและกลไกของโรค
    • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Leptospira interrogans ซึ่งพบในปัสสาวะของสัตว์ โดยเฉพาะหนู
    • เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล หรือผิวหนังที่เปื่อยจากการแช่น้ำ หรือเยื่อเมือก (เช่น ตา จมูก ปาก)
    • พบมากในเกษตรกร คนงานก่อสร้าง หรือผู้ที่ต้องลุยน้ำท่วม
  • อาการ
    • ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อน่อง (เด่นชัดมาก)
    • ตาแดง (จากเยื่อบุตาอักเสบ) คลื่นไส้ อาเจียน
    • อาจมีอาการดีขึ้นช่วงหนึ่ง แล้วกลับมาแย่ลง (ระยะ Immune phase)
    • อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไตวาย ตับอักเสบ ปอดอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • การวินิจฉัย
    • ตรวจเลือดหาเชื้อ (PCR หรือ Microscopic Agglutination Test)
    • ตรวจค่าตับ-ไต หรือเกลือแร่ผิดปกติในรายที่รุนแรง
  • การป้องกัน
    • สวมรองเท้าบูทยางเมื่อลุยน้ำท่วม
    • หลีกเลี่ยงแหล่งน้ำสกปรก
    • ล้างร่างกายและทำความสะอาดบาดแผลทันที
    • ในบางกรณีอาจให้ยาปฏิชีวนะป้องกัน เช่น Doxycycline (เฉพาะกลุ่มเสี่ยง)
  • การรักษา
    • ใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น Doxycycline, Penicillin, หรือ Ceftriaxone ขึ้นกับความรุนแรง
    • รายหนักอาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
โรคท้องร่วงเฉียบพลัน
โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน (Acute Diarrhea)
  • สาเหตุและกลไกของโรค
    • เกิดจากเชื้อไวรัส (Rotavirus, Norovirus), แบคทีเรีย (Salmonella, E. coli, Shigella) หรือโปรโตซัว (เช่น Giardia)
    • ติดเชื้อผ่านการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
    • หน้าฝนมักมีน้ำท่วม ขยะหรือของเน่าเสียปนเปื้อน ทำให้อาหารสะสมเชื้อได้ง่าย
  • อาการ
    • ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน
    • ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีไข้
    • หากขาดน้ำมาก: ปากแห้ง เวียนหัว ปัสสาวะน้อย ตาลึกโหล
  • การวินิจฉัย
    • ส่วนใหญ่ไม่ต้องตรวจ ยกเว้นในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือรายที่อาการรุนแรง
    • การตรวจอุจจาระเพื่อหาเชื้อในกรณีระบาด
  • การป้องกัน
    • ล้างมือก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำ
    • ดื่มน้ำต้มสุก หลีกเลี่ยงอาหารค้างคืนหรือสุกๆ ดิบๆ
    • เลือกบริโภคอาหารจากแหล่งที่เชื่อถือได้
  • การรักษา
    • ไการชดเชยน้ำและเกลือแร่เป็นสิ่งสำคัญ (เช่น ORS)
    • ใช้ยาหยุดถ่ายเฉพาะในรายที่ไม่มีไข้หรือถ่ายมีเลือด
    • ยาปฏิชีวนะใช้เฉพาะบางรายที่สงสัยแบคทีเรีย เช่น มีไข้สูง ถ่ายเป็นมูกเลือด
โรคตาแดง
ตาแดง (Conjunctivitis)
  • สาเหตุและกลไกของโรค
    • ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส (Adenovirus) รองลงมาคือแบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากการแพ้
    • เชื้อเข้าสู่ตาจากมือที่สัมผัสสิ่งสกปรก เช่น น้ำฝน น้ำท่วม หรือการใช้ของร่วมกัน
    • ระบาดง่ายในช่วงฝนตก น้ำสกปรกเจือปนตามอาคาร โรงเรียน หรือที่พัก
  • อาการ
    • ตาแดง เคืองตา แสบตา น้ำตาไหล
    • มีขี้ตา (ขี้ตามากแบบเหนียวข้นมักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย)
    • บางรายอาจมีไข้ เจ็บคอร่วมด้วย (โดยเฉพาะจากไวรัส)
    • มักเริ่มจากตาข้างหนึ่งแล้วลามไปอีกข้าง
  • การแพร่เชื้อ
    • ติดต่อได้ง่ายผ่านมือ เสื้อผ้า ผ้าเช็ดหน้า หรือแม้แต่น้ำในสระ
    • สามารถแพร่เชื้อได้หลายวันหลังเริ่มมีอาการ
  • การป้องกัน
    • ไม่ขยี้ตา หมั่นล้างมือ
    • หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือเครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น
    • ไม่ควรไปโรงเรียนหรือที่ทำงานหากติดเชื้อ
  • การรักษา
    • เชื้อไวรัส: ส่วนใหญ่หายได้เองใน 5–7 วัน ใช้ยาลดอาการ เช่น ยาหยอดตา
    • เชื้อแบคทีเรีย: ใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะ เช่น chloramphenicol หรือ ciprofloxacin
    • หากอาการไม่ดีขึ้นใน 3 วัน ควรพบจักษุแพทย์