โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อน

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอากาศร้อนจัด โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน (ประมาณเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม) ซึ่งอุณหภูมิสามารถสูงถึง 40 องศาเซลเซียสได้ง่ายๆ ความร้อนนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความรู้สึกไม่สบายตัว แต่ยังเป็น “ตัวกระตุ้น” ให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย วันนี้เราจะมาเจาะลึก 5 โรคที่พบบ่อยในหน้าร้อน พร้อมทั้งอธิบายสาเหตุอย่างละเอียด และแนวทางป้องกันที่ทำได้จริง


โรคลมแดด (Heat Stroke)
ลมแดด (Heat Stroke)
คือ ภาวะร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกิน 40°C จากการสัมผัสความร้อนนานเกินไป โดยที่ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ทัน ส่งผลให้ระบบควบคุมอุณหภูมิล้มเหลว และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

อาการลมแดด
อาการของลมแดดมักเริ่มต้นจากอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะ วิงเวียน คลื่นไส้ และรู้สึกกระหายน้ำมาก แต่หากไม่ได้รับการพักหรือระบายความร้อนทัน อาจเกิดภาวะตัวร้อนจัด ผิวแห้ง ไม่มีเหงื่อ หายใจเร็ว ใจเต้นแรง มึนงง สับสน และในกรณีรุนแรงอาจชักหรือหมดสติได้ ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรีบปฐมพยาบาลและส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว

สาเหตุลมแดด
ลมแดดเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในได้เมื่อเผชิญกับความร้อนสูงเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในวันที่อุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 35°C ร่างกายจะระบายความร้อนผ่านการขับเหงื่อ แต่หากอุณหภูมิแวดล้อมสูงเกินไป หรือไม่มีลมถ่ายเท การระบายความร้อนจะทำได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนเกินขีดอันตราย (มากกว่า 40°C) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อก หมดสติ หรือเสียชีวิตได้

วิธีป้องกันลมแดด
  • หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแดดช่วงเวลา 11.00 - 15.00 น.
  • ดื่มน้ำทุก 15-30 นาที แม้ไม่รู้สึกกระหาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • สวมเสื้อผ้าสีอ่อน เนื้อผ้าบาง ระบายอากาศได้ดี
  • ใช้ร่ม หมวก หรือเสื้อคลุมป้องกันแสงแดด
  • หากรู้สึกเวียนหัว ใจสั่น หรืออ่อนแรง ควรรีบเข้าที่ร่ม หยุดพัก และดื่มน้ำทันที


โรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)
อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)
คือ ภาวะเจ็บป่วยที่เกิดจากการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือสารพิษจากจุลินทรีย์ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และท้องเสีย โดยมักเกิดอย่างเฉียบพลันหลังจากรับประทานอาหารไม่สะอาด

อาการอาหารเป็นพิษ
ผู้ที่มีอาการอาหารเป็นพิษจะเริ่มแสดงอาการภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากบริโภคอาหารที่ปนเปื้อน โดยจะมีอาการปวดท้องแบบบิด ๆ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ อ่อนเพลีย และอาจมีไข้ต่ำร่วมด้วย ในบางรายอาจมีอาการรุนแรง เช่น ถ่ายเป็นมูกเลือด อาเจียนไม่หยุด หรือแสดงอาการขาดน้ำอย่างชัดเจน เช่น ปากแห้ง เวียนศีรษะ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วันควรรีบพบแพทย์

สาเหตุอาหารเป็นพิษ
อาหารเป็นพิษเกิดจากการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ เช่น Salmonella, E. coli, Staphylococcus aureus หรือสารพิษที่จุลินทรีย์สร้างขึ้น การเจริญเติบโตของเชื้อโรคเหล่านี้เกิดขึ้นได้รวดเร็วในอุณหภูมิสูง โดยเฉพาะอาหารที่ค้างคืนหรือเก็บไว้ไม่เหมาะสม เช่น อุณหภูมิห้อง หรือโดนแดดโดยตรง
สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
  • อาหารที่ปรุงสุกแล้วแต่ไม่ได้เก็บในตู้เย็น
  • การสัมผัสอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด
  • การใช้วัตถุดิบที่ปนเปื้อนเชื้อโรค
วิธีป้องกันอาหารเป็นพิษ
  • กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่และเก็บในภาชนะสะอาด
  • หลีกเลี่ยงอาหารริมทางที่มีการเปิดเผยต่ออากาศและแมลง
  • อย่ากินอาหารที่มีรสหรือกลิ่นผิดปกติ
  • ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
  • ล้างภาชนะและวัตถุดิบด้วยน้ำสะอาดก่อนนำไปปรุง

โรคท้องร่วง (Diarrhea)
โรคท้องร่วง (Diarrhea)
คือ ภาวะที่ร่างกายถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำบ่อยกว่าปกติ (มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน) ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ การแพ้อาหาร หรือระบบทางเดินอาหารผิดปกติ และมักทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว

อาการโรคท้องร่วง
อาการของโรคท้องร่วงจะเริ่มจากการถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำมากกว่าวันละ 3 ครั้ง ร่วมกับอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และในบางรายอาจมีไข้ต่ำ อาการจะรุนแรงขึ้นหากเกิดภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง กระหายน้ำจัด หรือไม่มีแรง ซึ่งจะพบได้บ่อยในเด็กและผู้สูงอายุที่ร่างกายอ่อนแอ หากมีอาการรุนแรง หรือถ่ายไม่หยุดภายใน 24-48 ชั่วโมง ควรพบแพทย์ทันที

สาเหตุโรคท้องร่วง
โรคท้องร่วงเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการบริโภคน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูง เป็นตัวเร่งให้แบคทีเรียไวรัสและพยาธิเจริญเติบโตได้ดี อีกทั้งพฤติกรรมที่เร่งรีบและการกินอาหารนอกบ้านบ่อยครั้งก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง

วิธีป้องกันโรคท้องร่วง
  • หดื่มน้ำที่ผ่านการต้ม หรือกรองด้วยระบบฆ่าเชื้อ
  • ล้างมือด้วยสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนหยิบอาหาร
  • ระมัดระวังการบริโภคผลไม้ที่มีเปลือกบางและไม่สามารถล้างออกเชื้อโรคได้ง่าย
  • หลีกเลี่ยงการทานสลัดหรืออาหารดิบที่ไม่ได้ล้างอย่างถูกสุขลักษณะ
  • หากมีอาการท้องร่วง ควรดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

ผิวหนังอักเสบ และผดร้อน (Heat Rash)
ผิวหนังอักเสบ และผดร้อน (Heat Rash)
คือ ภาวะที่รูขุมขนอุดตันจากเหงื่อ ทำให้เกิดผื่นแดงเล็ก ๆ หรือตุ่มใสบนผิวหนัง มักพบในบริเวณที่อับชื้นหรือเสียดสี เช่น คอ รักแร้ หลังเข่า และมักมีอาการคันหรือแสบร่วมด้วย โดยพบมากในเด็กและผู้ที่อยู่ในที่ร้อนชื้นนาน ๆ

อาการผดร้อน
ผดร้อนมักเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อทำให้เกิดตุ่มเล็ก ๆ คันหรือแสบแดงขึ้นตามผิวหนัง โดยเฉพาะในบริเวณที่อับชื้น เช่น ลำคอ หลังใบหู รักแร้ หลังเข่า หรือแผ่นหลัง ผู้ป่วยจะรู้สึกระคายเคืองและคันมากเมื่อเหงื่อออก หากเกามากหรือดูแลไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนเป็นตุ่มหนอง หรือกลายเป็นแผลได้ โดยพบมากในเด็กเล็กและผู้ที่ใส่เสื้อผ้าหนาหรืออยู่ในที่ร้อนอบอ้าวนานเกินไป

สาเหตุผดร้อน
ผดร้อน หรือที่เรียกกันว่า “ผื่นร้อน” เป็นผลจากการที่รูขุมขนและต่อมเหงื่อถูกอุดตัน ทำให้เหงื่อไม่สามารถระบายออกได้ เกิดเป็นตุ่มเล็ก ๆ คัน บางครั้งแดงหรือมีอาการแสบ โดยเฉพาะบริเวณข้อพับ หลังคอ หน้าอก ใต้วงแขน และหลัง
ปัจจัยกระตุ้น
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่หนา ระบายอากาศไม่ดี
  • เหงื่อออกมากจากอากาศร้อนหรือการออกกำลังกาย
  • อยู่ในพื้นที่อับชื้นหรือไม่ถ่ายเท
วิธีป้องกันผดร้อน
  • สวมเสื้อผ้าหลวม ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย
  • อาบน้ำบ่อย ๆ เพื่อชำระเหงื่อและแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ร้อนหรืออับชื้นเป็นเวลานาน
  • ใช้แป้งเย็นหรือแป้งเด็กเพื่อช่วยลดการระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการเกา เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

ไข้หวัดแดด (Summer Flu)
ไข้หวัดแดด (Summer Flu)
คือ ภาวะคล้ายไข้หวัดธรรมดาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว เช่น การเข้าออกจากแดดสู่ห้องแอร์ อาการมักรวมถึงมีไข้ต่ำ ปวดหัว คัดจมูก น้ำมูกไหล และอ่อนเพลีย แต่ไม่เกิดจากเชื้อไวรัสเหมือนไข้หวัดทั่วไป

อาการไข้หวัดแดด
อาการของไข้หวัดแดดมีลักษณะคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่มักเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายเผชิญกับอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น ออกจากที่ร้อนจัดแล้วเข้าสู่ห้องแอร์เย็นทันที ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล จาม และอาจมีเจ็บคอเล็กน้อย ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย และปวดเมื่อยตามตัว โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน หากพักผ่อนเพียงพอและดื่มน้ำมาก ๆ

สาเหตุไข้หวัดแดด
ไข้หวัดแดดเป็นอาการคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว เช่น จากอากาศร้อนจัดแล้วเข้าสู่ห้องแอร์เย็น ๆ ทันที หรือดื่มน้ำเย็นจัดเมื่อร่างกายกำลังร้อน ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ
กลไกที่ก่อให้เกิดไข้หวัดแดด
  • เส้นเลือดหดตัวเร็วเกินไปจากการเปลี่ยนอุณหภูมิ
  • ร่างกายเหนื่อยล้าจากความร้อนจนภูมิคุ้มกันอ่อนลง
  • ระบบหายใจและโพรงจมูกไวต่ออุณหภูมิ
วิธีป้องกันไข้หวัดแดด
  • หลีกเลี่ยงการเข้าออกสถานที่ที่อุณหภูมิต่างกันอย่างฉับพลัน
  • ค่อย ๆ ลดอุณหภูมิร่างกายหลังออกแดด เช่น เข้าร่มก่อนเข้าแอร์
  • งดดื่มน้ำเย็นจัดทันทีหลังออกแดด
  • รับประทานอาหารที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น ผัก ผลไม้รสเปรี้ยว และวิตามินซี
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว

ตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps)
ตะคริวจากความร้อน (Heat Cramps)
คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งหรือเป็นตะคริวจากการเสียเหงื่อมากจนขาดเกลือแร่ โดยมักเกิดในผู้ที่ออกแรงในสภาพอากาศร้อนจัด เช่น นักกีฬา แรงงาน หรือผู้ที่ทำกิจกรรมกลางแดดโดยไม่ดื่มน้ำเพียงพอ

อาการตะคริวจากความร้อน
ผู้ป่วยจะมีอาการตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งหรือปวดหน่วงที่กล้ามเนื้อ เช่น ขา น่อง หน้าท้อง หรือแขน โดยเฉพาะหลังจากออกแรงหรือทำงานในที่ร้อนจัด อาการอาจเกิดทันที หรือหลังจากการใช้แรง 1–2 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจไม่มีไข้ แต่อาจรู้สึกกระหายน้ำ อ่อนเพลีย หรือมีอาการขาดน้ำร่วมด้วย หากไม่ได้รับการพักผ่อนหรือน้ำเพียงพอ อาจลุกลามเป็นโรคลมแดดได้

สาเหตุตะคริวจากความร้อน
ตะคริวจากความร้อนเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียโซเดียม (เกลือแร่) และของเหลวผ่านทางเหงื่อมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมกลางแจดเป็นเวลานาน เช่น ออกกำลังกาย ทำงานกลางแจ้ง หรือเล่นกีฬา หากไม่ได้เติมน้ำและเกลือแร่คืนเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ กล้ามเนื้อจะขาดสมดุลอิเล็กโทรไลต์ ทำให้เกิดการหดเกร็ง หรือที่เรียกว่าตะคริวนั่นเอง

วิธีป้องกันตะคริวจากความร้อน
  • ดื่มน้ำเป็นระยะ พร้อมเกลือแร่ หรือเครื่องดื่มเกลือแร่หากเหงื่อออกมาก
  • ไม่ควรดื่มเฉพาะน้ำเปล่ามากเกินไปโดยไม่เติมแร่ธาตุ เพราะอาจทำให้ระดับโซเดียมต่ำลง
  • หยุดพักทุก 30-60 นาทีเมื่อต้องทำงานกลางแดดหรือออกกำลังกาย
  • ยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อได้ดี เพื่อลดการสะสมของความร้อนในร่างกาย

ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
ภาวะขาดน้ำ (Dehydration)
คือ ภาวะที่ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากกว่าที่ได้รับเข้าไป ทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ โดยอาจเกิดจากเหงื่อออกมาก ท้องเสีย อาเจียน หรือการดื่มน้ำน้อยเกินไป หากรุนแรงอาจส่งผลต่อไต ความดันโลหิต และการไหลเวียนโลหิต

อาการภาวะขาดน้ำ
ภาวะขาดน้ำเกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลันและแบบเรื้อรัง อาการเบื้องต้น ได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย สีเหลืองเข้ม เวียนศีรษะหรือหน้ามืด โดยเฉพาะเมื่อเปลี่ยนท่าทางเร็ว เช่น ลุกจากที่นอน บางรายอาจมีชีพจรเร็ว หายใจถี่ และหากขาดน้ำรุนแรง อาจหมดสติหรือไตวายได้

สาเหตุภาวะขาดน้ำ
ภาวะขาดน้ำในฤดูร้อนเกิดได้ง่าย เพราะร่างกายสูญเสียน้ำผ่านเหงื่อมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่กลางแดด ออกแรง หรืออยู่ในที่ร้อนอบอ้าวนาน ๆ รวมถึงการท้องเสีย อาเจียน หรือไม่ได้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอก็ทำให้ขาดน้ำได้เช่นกัน การดื่มน้ำไม่พอหรือดื่มเฉพาะน้ำหวาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็มีผลให้ร่างกายขับน้ำออกโดยไม่กักเก็บไว้

วิธีป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือมากกว่านั้นในวันที่อากาศร้อน
  • สังเกตสีปัสสาวะ หากมีสีเหลืองเข้มหรือมีกลิ่นแรง แสดงว่าอาจขาดน้ำ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป เพราะมีฤทธิ์ขับน้ำ
  • หากเหงื่อออกมาก ให้ดื่มเกลือแร่หรือน้ำมะพร้าวเสริมแร่ธาตุ
  • พกขวดน้ำติดตัวเสมอ และฝึกดื่มน้ำแม้ไม่รู้สึกกระหาย เพื่อรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย

โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
คือ โรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัส Rabies virus ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลางของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยเฉพาะสุนัข แมว และค้างคาว หากผู้ป่วยแสดงอาการแล้ว มักเสียชีวิตในเวลาไม่นาน โดยโรคนี้สามารถป้องกันได้ 100% ด้วยการฉีดวัคซีน ก่อนหรือหลังถูกกัด

อาการโรคพิษสุนัขบ้า
อาการของโรคพิษสุนัขบ้าจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลักๆ
  • เริ่มจากอาการเบื้องต้นที่คล้ายไข้หวัด เช่น ไข้ต่ำ เจ็บคอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย และคันบริเวณแผลถูกกัด
  • ต่อมาจะเข้าสู่ระยะตื่นเต้น ผู้ป่วยจะไวต่อแสง เสียง ลม น้ำ มีอาการกลัวน้ำ กลืนลำบาก กล้ามเนื้อเกร็ง พูดไม่ชัด หายใจขัด และอาจมีพฤติกรรมผิดปกติ เช่น กระวนกระวาย หรือก้าวร้าวอย่างฉับพลัน
  • สุดท้ายคือระยะอัมพาต ผู้ป่วยจะหมดสติ และเสียชีวิตจากภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
สาเหตุโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสผ่านทางน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค โดยมากจะติดจากการถูกสัตว์กัด ข่วน หรือเลียบริเวณแผลเปิด โดยสัตว์ที่พบบ่อยที่สุดในไทย ได้แก่ สุนัข แมว และสัตว์ป่าบางชนิด เช่น ค้างคาว โดยเชื้อไวรัสจะเดินทางจากบริเวณที่ถูกกัดเข้าสู่ระบบประสาท และเคลื่อนไปยังสมองจนเกิดอาการ ซึ่งอาจใช้เวลาฟักตัวตั้งแต่ 10 วัน จนถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ถูกกัดและปริมาณเชื้อที่ได้รับ

วิธีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
  • เลี่ยงการสัมผัสสัตว์แปลกหน้า โดยเฉพาะสุนัขและแมวที่ไม่มีเจ้าของ หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ซึม ดุขึ้น หรือมีน้ำลายไหลมาก
  • ฉีดวัคซีนสัตว์เลี้ยงเป็นประจำ สุนัขและแมวควรได้รับวัคซีนพิษสุนัขบ้า ทุกปี
  • หากถูกกัด ข่วน หรือเลียแผล ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ฟอกนาน 15 นาที แล้วรีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อรับวัคซีนทันที
  • ประชาสัมพันธ์ความรู้เรื่องโรคในชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสุนัขจรจัดจำนวนมาก
  • ในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้ทำงานกับสัตว์ ควรฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้าเป็นระยะ