โรคกระเพาะอาหาร คืออะไร..? อันตรายมากกว่าที่คุณคิด..!
โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis หรือ Peptic Ulcer) คือ ภาวะที่เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบ หรือมีแผลจากกรดในกระเพาะ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ความเครียด หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย H. pylori
อันตรายจากโรคกระเพาะอาหาร ที่หลายคนมองข้าม แม้จะดูเป็นโรคธรรมดา แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจก่อให้เกิด ผลแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น
- แผลในกระเพาะอาหารลุกลาม ทำให้กระเพาะทะลุหรือมีเลือดออก
- เสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะหากเกิดจากการติดเชื้อ H. pylori
- การดูดซึมอาหารลดลง ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด
- ส่งผลต่อสุขภาพจิต เช่น เครียดเรื้อรังหรือวิตกกังวล
สาเหตุหลักที่ทำให้คนมองข้ามโรคกระเพาะ
- เข้าใจผิดว่าเป็นอาการทั่วไป เช่น ปวดท้องธรรมดา
- ใช้ยาแก้ปวดท้องชั่วคราว โดยไม่วินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริง
- ละเลยการปรับพฤติกรรมการกิน เช่น กินไม่ตรงเวลา อดมื้อเช้า หรือกินเผ็ดจัด
- ไม่ต้องพบแพทย์ จนกว่าอาการจะรุนแรง
สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ที่ควรระวัง!
เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาคุณค่าทางโภชนาการของสารอาหารที่ได้จากพืชหรือสมุนไพร กระบวนการนี้มีข้อดีหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีการสกัดอื่น ๆ ที่ใช้ความร้อนหรือสารเคมี ซึ่งทำให้สารอาหารที่ผ่านการสกัดเย็นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากขึ้น นี่คือเหตุผลที่การสกัดเย็นมีความสำคัญ
- การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา
การกินอาหารไม่เป็นเวลา เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งออกมาโดยไม่มีอาหารให้ย่อย ส่งผลให้กรดกัดเยื่อบุกระเพาะจนเกิดการอักเสบ เมื่อปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็นโรคกระเพาะอาหารเรื้อรังได้
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร โดยตรง ทำให้เยื่อบุอ่อนแอลง เกิดการอักเสบและระคายเคืองในระยะยาว ยิ่งดื่มบ่อย โอกาสเป็นโรคกระเพาะยิ่งสูง
- การสูบบุหรี่
นิโคตินในบุหรี่ จะไปลดการไหลเวียนของเลือดที่เยื่อบุกระเพาะ และยังเพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะ ทำให้เสี่ยงเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรืออาการแสบร้อนกลางอก
- การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori
เชื้อ H. pylori เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของโรคกระเพาะอาหาร โดยเชื้อนี้จะไปทำลายเยื่อบุกระเพาะ และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาอาจพัฒนาเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือมะเร็งกระเพาะ
- การใช้ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs
ยาในกลุ่ม NSAIDs เช่น ยาแก้ปวดหรือยาแก้อักเสบ (พาราเซตามอล, ไอบูโพรเฟน) หากใช้บ่อยโดยไม่ป้องกัน อาจกัดกร่อนเยื่อบุกระเพาะ ทำให้เกิดการอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะ
- ความเครียดสะสม
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะหลั่งกรดมากขึ้น และทำให้ร่างกายฟื้นฟูเยื่อบุได้ช้าลง จึงเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดแสบ ปวดจุก หรืออาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะในคนที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ
สัญญาณเตือนโรคกระเพาะอาหาร ที่ไม่ควรมองข้าม
โรคกระเพาะอาหาร (Gastritis หรือ Peptic Ulcer) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในคนที่มีพฤติกรรมการกินไม่เป็นเวลา เครียด พักผ่อนน้อย หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ หากคุณกำลังมีอาการเหล่านี้ อาจเป็น “สัญญาณเสี่ยงของโรคกระเพาะ” ที่ควรรีบดูแลอย่างจริงจัง
- ปวดจุก แสบลิ้นปี่ หรือเหนือสะดือ
อาการปวดแบบจุกๆ แสบๆ บริเวณลิ้นปี่ หรือเหนือสะดือ มักเป็นอาการเริ่มต้นของโรคกระเพาะอาหาร โดยอาการจะรู้สึกแสบเหมือนไฟไหม้ บางครั้งอาจมีลมในกระเพาะร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลจากกรดในกระเพาะอาหารที่ระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะ
- ปวดท้องขวาเวลาหิวหรืออิ่ม และบรรเทาได้ด้วยยาลดกรด
หากคุณรู้สึก ปวดท้องบริเวณด้านขวา ช่วงเวลาหิวหรืออิ่ม และรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินยาลดกรด อาจเป็นสัญญาณของแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer)
อาการปวดแบบนี้สัมพันธ์กับระดับกรดในกระเพาะที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ
- ปวดแสบกลางท้องถึงลิ้นปี่
วิธีการสกัดด้วยสารเคมีมักใช้สารตัวทำละลาย เช่น เฮกเซน (Hexane) เพื่อดึงสารสำคัญออกมา ซึ่งสารตกค้างจากกระบวนการนี้อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย ในทางกลับกัน การสกัดเย็นไม่ใช้สารเคมี จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีสารพิษตกค้างในผลิตภัณฑ์ที่สกัดได้ ทำให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับการบริโภคมากกว่า
หากรู้สึกปวดแสบทุกครั้งหลังอาหาร ควรพบแพทย์ทันที
- ปวดท้องจนต้องตื่นตอนกลางคืน
หนึ่งในอาการที่บ่งบอกว่าโรคกระเพาะเริ่มรุนแรง คือ การปวดท้องจนรบกวนการนอนหลับ หรือปวดจนต้องตื่นตอนดึก โดยเฉพาะเวลาท้องว่าง เป็นช่วงที่กรดในกระเพาะทำร้ายเยื่อบุโดยตรง
อาการแบบนี้ไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะอาจลุกลามเป็นแผลลึก
- ปวดท้องรุนแรงจนคลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือด
อาการขั้นวิกฤตของโรคกระเพาะ คือการปวดท้องมากร่วมกับอาการอาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือด (อุจจาระดำหรือมีเลือดปน) ซึ่งอาจเกิดจากแผลในกระเพาะที่ทะลุหรือติดเชื้อ
ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเสี่ยงถึงชีวิต
น้ำมันกระเทียม ช่วยดูแลโรคกระเพาะอาหารได้อย่างไร?
น้ำมันกระเทียม (Garlic Oil) ไม่ได้มีดีแค่เรื่องภูมิคุ้มกันหรือหัวใจ แต่ยังมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ประสบปัญหา โรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง หรือผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะจากเชื้อ Helicobacter pylori ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของโรคกระเพาะและแผลในกระเพาะอาหาร
มาดูกันว่า น้ำมันกระเทียมสามารถช่วยดูแลกระเพาะอาหารของคุณได้อย่างไรบ้าง
- ป้องกันการติดเชื้อ Helicobacter pylori
น้ำมันกระเทียมมีสาร อัลลิซิน (Allicin) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญอย่าง Helicobacter pylori ซึ่งเป็นเชื้อที่อยู่ในกระเพาะอาหารและเป็นสาเหตุหลักของ แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า อัลลิซินช่วยยับยั้งการเจริญของเชื้อ H. pylori ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดการอักเสบและฟื้นฟูเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร
น้ำมันกระเทียมมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ซึ่งช่วย ลดการระคายเคืองและอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้แผลหายเร็วขึ้น และช่วยให้กระเพาะฟื้นตัวได้ดีขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาในระยะยาว
- ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร
น้ำมันกระเทียมสามารถช่วย ควบคุมระดับกรดในกระเพาะอาหาร ไม่ให้หลั่งมากเกินไป โดยเฉพาะในภาวะที่เกิดจากความเครียดหรือการรับประทานอาหารผิดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงของ กรดไหลย้อน และ แสบท้อง
- ป้องกันโรคกระเพาะจากความเครียด
ความเครียดเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ช่วย ลดระดับคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ที่เป็นโรคกระเพาะจากภาวะเครียดสะสม เช่น พนักงานออฟฟิศ หรือผู้มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ
- กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
เมื่อระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดี ก็สามารถป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ำมันกระเทียมช่วย เพิ่มการทำงานของเม็ดเลือดขาว และกระตุ้นการสร้างสารภูมิคุ้มกันในร่างกาย ทำให้ลดโอกาสในการกลับมาเป็นโรคกระเพาะซ้ำ