Placeholder image

   โรคเกี่ยวกับตาที่เป็นอันตรายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการมองเห็น การทำงานประจำวัน และคุณภาพชีวิตโดยรวม ซึ่งโรคตาหลายชนิดอาจพัฒนาอย่างช้า ๆ โดยไม่แสดงอาการชัดเจนในช่วงแรก ทำให้หลายคนไม่ทราบถึงการเกิดโรคจนกว่าจะถึงระยะที่มีความเสี่ยงสูงหรือสายเกินไป บางโรคอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นเพียงเล็กน้อย ในขณะที่บางโรคสามารถนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวรได้ ซึ่งมีอยู่หลายโรคด้วยกัน


Placeholder image

โรคต้อหิน (Glaucoma)

เป็นภาวะที่เกิดจากความดันภายในลูกตาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตา ทำให้การมองเห็นลดลงและอาจนำไปสู่การตาบอดหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

อาการเตือนของโรคต้อหิน
  • การมองเห็นลดลง อาจเริ่มจากการมองเห็นที่ขอบด้านข้างไม่ชัดเจน หรือมีขอบดำคล้ายอุโมงค์
  • เห็นวงสีรุ้งรอบแสงไฟ ผู้ป่วยอาจเห็นวงกลมสีรุ้งล้อมรอบแสงไฟ โดยเฉพาะในที่มืดหรือเมื่อมองไฟสว่างจ้า
  • ตาแดง อาจมีอาการตาแดงเรื้อรังร่วมด้วย ซึ่งบางครั้งอาจเกิดพร้อมกับความเจ็บปวดในตา
  • ปวดตา บางครั้งอาจมีอาการปวดตารุนแรง ร่วมกับการปวดศีรษะ
  • ตาพร่ามัว การมองเห็นอาจไม่ชัดเจนหรือพร่ามัว โดยเฉพาะในที่มีแสงน้อย
  • คลื่นไส้ อาเจียน หากความดันในตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย

โรคต้อกระจก (Cataracts)

เป็นภาวะที่เลนส์ตาของคนเริ่มขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นลดลงและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยได้เช่นกัน โดยปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ การบาดเจ็บที่ตา การสัมผัสแสงแดดมากเกินไป การใช้ยาบางชนิด หรือการมีประวัติทางครอบครัว

อาการเตือนของโรคต้อกระจก
  • การมองเห็นไม่ชัดเจน คล้ายกับการมองผ่านหมอก
  • ความสามารถในการมองเห็นในที่สว่างจ้าลดลง หรือเห็นแสงจ้ารอบดวงไฟ
  • มองเห็นภาพเบลอหรือซ้อน
  • การเปลี่ยนแปลงในการมองเห็นสี เช่น เห็นสีต่าง ๆ หมองลง
  • ต้องการแสงมากขึ้นเมื่ออ่านหนังสือหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาใกล้
  • เปลี่ยนแว่นตาบ่อยครั้งเพราะค่าสายตาเปลี่ยนบ่อย

โรคต้อเนื้อ (Pterygium)

เป็นโรคตาเกี่ยวกับการเติบโตของเยื่อเมือกบางๆ ที่ขยายจากส่วนตาขาวเข้าสู่กระจกตา โดยมักมีลักษณะเป็นก้อนหรือเนื้อเยื่อสีชมพู สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งสองข้างของตา แต่จะมักพบมากในบริเวณตาดำด้านใกล้จมูก

อาการเตือนของโรคต้อเนื้อ
  • มีเนื้อเยื่อหรือก้อนขนาดเล็กที่ตาขาว จะเห็นได้ชัดว่ามีเนื้อเยื่อหรือก้อนเนื้อสีชมพูงอกขึ้นจากตาขาว
  • ตาแห้งและระคายเคือง ผู้ป่วยมักมีความรู้สึกเหมือนมีฝุ่นหรือตะกอนอยู่ในตา ทำให้ตาระคายเคือง
  • ตาแดง เกิดการอักเสบและมีอาการตาแดงร่วมด้วย
  • ตามัวหรือการมองเห็นพร่ามัว หากต้อเนื้อขยายเข้าสู่กระจกตา จะส่งผลต่อการมองเห็นให้ไม่ชัดเจน
  • มีอาการเจ็บหรือเคืองตา บางคนอาจรู้สึกเคืองหรือเจ็บเมื่อสัมผัสบริเวณที่มีต้อเนื้อ
  • ความรู้สึกไวต่อแสง (Photophobia) การสัมผัสกับแสงจ้าอาจทำให้ตารู้สึกเจ็บหรือแสบได้

โรคต้อลม (Pinguecula)

เป็นความผิดปกติของดวงตาที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อบุตาขาว เป็นก้อนเนื้องอกเล็กๆ สีเหลือง หรือขาวใส มักพบได้ในผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดด ลม ฝุ่น และสิ่งแวดล้อมที่ระคายเคืองต่อดวงตาเป็นเวลานาน

อาการเตือนของโรคต้อลม
  • ก้อนเนื้อเล็กๆ บริเวณตาขาว พบก้อนเนื้อสีเหลืองหรือขาวใส บริเวณด้านข้างของดวงตา มักเกิดขึ้นใกล้กับจมูก
  • ตาแห้งและระคายเคือง ตาอาจแห้ง รู้สึกระคายเคืองหรือเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา
  • ตาแดง ตาขาวอาจมีสีแดงหรืออักเสบ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับฝุ่น ควัน หรือแสงแดดเป็นเวลานาน
  • การมองเห็นพร่ามัว (ในบางกรณี) หากต้อลมขยายใหญ่ขึ้น อาจทำให้เกิดการพร่ามัวหรือบดบังการมองเห็น
  • คันตา อาจมีอาการคันตาหรือรู้สึกไม่สบายตาในบางครั้ง

โรควุ้นตาเสื่อม (Vitreous Degeneration)

เป็นภาวะที่วุ้นในดวงตาเสื่อมสภาพและทำให้เกิดปัญหาทางการมองเห็น มักเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากวุ้นในดวงตาที่เคยใสและหนาแน่นจะเริ่มแยกตัวออกเป็นชิ้นๆ และลดความหนาแน่นลง ทำให้เกิดการดึงรั้งหรือแยกออกจากเรตินาได้

อาการเตือนของโรควุ้นตาเสื่อม
  • เห็นจุดหรือเส้นลอยในสายตา (Floaters) เป็นอาการที่พบบ่อยมาก จุดดำ หรือเส้นเล็กๆ อาจเห็นเด่นชัดเมื่อมองพื้นหลังที่สว่าง
  • เห็นแสงวาบ (Flashes of light) คล้ายเห็นแสงฟ้าแลบหรือแสงกระพริบในสายตา แม้จะไม่มีแสงภายนอกที่ทำให้เกิดขึ้น
  • การมองเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะถ้าโรควุ้นตาเสื่อมรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้มองเห็นภาพไม่คมชัดเหมือนปกติ
  • เกิดม่านในสายตา (Curtain effect) หรือมองเห็นเสมือนมีม่านมาบังส่วนหนึ่งของการมองเห็น
  • การมองเห็นผิดปกติ เช่น มองภาพบิดเบี้ยว หรือขนาดของวัตถุที่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงไป

โรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย (Age-related Macular Degeneration - AMD)

เป็นโรคที่ส่งผลต่อการมองเห็นโดยเฉพาะส่วนกลางของการมองเห็น ซึ่งทำให้การทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อ่านหนังสือหรือขับรถ มีความยากลำบาก เกิดจากการเสื่อมสภาพของจอประสาทตาที่เกิดขึ้นตามอายุ โรคนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ
  1. แบบแห้ง (Dry AMD): พบมากที่สุด เกิดจากการสะสมของโปรตีนที่เรียกว่า Drusen ใต้จอประสาทตา ทำให้การมองเห็นส่วนกลางลดลงอย่างช้าๆ
  2. แบบเปียก (Wet AMD): พบได้น้อยกว่าแต่รุนแรงกว่า เกิดจากเส้นเลือดผิดปกติที่รั่วหรือแตกใต้จอประสาทตา

อาการเตือนของโรคจอประสาทตาเสื่อมตามวัย
  • การมองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณตรงกลาง
  • การมองเห็นเส้นตรงบิดเบี้ยวหรือคดเคี้ยว
  • การมองเห็นแสงสว่างจ้าหรือมีเงาบดบัง
  • การมองเห็นวัตถุเล็กลงกว่าความเป็นจริง
  • สีที่มองเห็นซีดจางลง
  • มีจุดดำหรือจุดบอดในบริเวณการมองเห็นตรงกลาง

เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy)

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา ซึ่งเป็นโรคที่เส้นเลือดในจอประสาทตาเกิดการอักเสบและอุดตัน ส่งผลให้จอประสาทตาขาดเลือดและออกซิเจน การขาดออกซิเจนจะทำให้จอประสาทตาเสื่อมสภาพลงและอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร ซึ่งมักเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมานานและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี

อาการเตือนของโรคเบาหวานขึ้นตา
  • การมองเห็นเบลอ การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนอาจเป็นอาการเริ่มต้น
  • จุดดำหรือเงาในสนามการมองเห็น ผู้ป่วยอาจเห็นจุดดำหรือเงาในมุมมอง
  • การมองเห็นในที่มืดลดลง ยากต่อการมองเห็นในที่มีแสงน้อย
  • การมองเห็นผิดปกติ อาจมีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการมองเห็น เช่น การเห็นแสงวูบวาบ
  • การเปลี่ยนแปลงในความสามารถในการมองเห็น อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในการมองเห็น

โรคตาแห้ง (Dry Eye Syndrome)

เป็นภาวะที่เกิดจากการผลิตน้ำตาไม่เพียงพอหรือมีคุณภาพไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการไม่สบายตา

อาการเตือนที่สำคัญของโรคตาแห้ง
  • รู้สึกแห้งตา มีความรู้สึกแห้งและไม่สบายในดวงตา
  • เคืองตา มีอาการเคืองตาหรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
  • ตามัว บางครั้งอาจมีอาการตามัวหรือลืมตาไม่ชัดเจน
  • น้ำตาไหล อาจมีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ควบคุม ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของตาเมื่อรู้สึกแห้ง
  • อาการระคายเคือง ตาอาจรู้สึกระคายเคืองเมื่ออยู่ในที่มีลม, ฝุ่น, หรือแสงสว่างจ้า
  • อาการตาแดง อาจมีอาการตาแดงหรืออักเสบ

โรคตาบอดสี (Color Blindness)

คือ สภาพที่ทำให้บุคคลไม่สามารถมองเห็นสีบางสีได้อย่างถูกต้อง

อาการเตือนของโรคตาบอดสี
  • มองเห็นสีผิดปกติ ไม่สามารถแยกแยะระหว่างสีที่ใกล้เคียงกัน เช่น แดงกับเขียว หรือ น้ำเงินกับเหลือง
  • ความสามารถในการมองเห็นสีลดลง อาจมีปัญหาในการระบุสีที่ต้องการ เช่น แยกสีที่มีความเข้มคล้ายกัน
  • มองเห็นสีเพี้ยน เมื่อมองดูภาพหรือวัตถุ อาจเห็นสีที่ไม่ตรงตามความจริง
  • การขัดข้องในการอ่านสี อาจมีปัญหาในการอ่านแผนที่ หรือแผนภูมิที่ใช้สีในการแสดงข้อมูล
  • อาการปวดหัวจากการใช้สี บางคนอาจรู้สึกไม่สบายหรือปวดหัวเมื่อมองสีสดๆ เป็นเวลานาน


Placeholder image

ลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่มีบทบาทสำคัญในการบำรุงและปกป้องสุขภาพดวงตาโดยเฉพาะการมองเห็น เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถดูดซับแสงสีน้ำเงินจากแสงแดดและแสงจากหน้าจอดิจิทัล ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นและเป็นอันตรายต่อดวงตา หากสะสมในดวงตามากเกินไปอาจนำไปสู่ปัญหาสายตาในระยะยาวได้


  1. ป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม
    ลูทีนถูกพบมากที่สุดในบริเวณจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา (Macula) ซึ่งเป็นบริเวณที่รับผิดชอบการมองเห็นที่คมชัด เมื่ออายุมากขึ้น บริเวณนี้จะเริ่มเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา แต่การมีลูทีนเพียงพอในร่างกายสามารถช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของจุดนี้ได้ การบริโภคลูทีนอย่างเพียงพอจึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration หรือ AMD) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ
  2. ลดความเสี่ยงของต้อกระจก
    ลูทีนยังมีคุณสมบัติช่วยปกป้องเลนส์ตาจากการเกิดความขุ่นหรือโรคต้อกระจก ซึ่งเป็นผลจากอนุมูลอิสระที่เกิดจากการสะสมของแสงยูวีหรือแสงสีน้ำเงิน การที่เลนส์ตาเสื่อมหรือเกิดต้อกระจกขึ้นมักเกี่ยวข้องกับการสลายตัวของโปรตีนในเลนส์ตา ลูทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถยับยั้งกระบวนการนี้ได้ ช่วยรักษาเลนส์ตาให้คงความใสและป้องกันการเกิดต้อกระจกในระยะยาว
  3. ปกป้องเซลล์ตาจากอนุมูลอิสระ
    การสัมผัสแสงแดดเป็นประจำ หรือแสงจากจอคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ทำให้เซลล์ตาได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีด้วยอนุมูลอิสระ ลูทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถดูดซับแสงสีน้ำเงินและกรองแสงอันตรายออกไปจากดวงตา ช่วยลดภาระของเซลล์ในการฟื้นฟูตัวเองจากความเสียหายและช่วยชะลอความเสื่อมของดวงตา
  4. เพิ่มความคมชัดในการมองเห็น
    ลูทีนยังช่วยในการปรับความไวของการมองเห็นในสภาวะแสงน้อย เช่น ในที่มืดหรือเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลายามเย็น ช่วยให้ดวงตามีความสามารถในการปรับตัวได้ดีขึ้น การบริโภคลูทีนในปริมาณที่เพียงพอจึงมีส่วนช่วยให้การมองเห็นในสภาวะแสงต่าง ๆ มีความคมชัดขึ้น ลดปัญหาสายตาพร่ามัวจากแสงมากเกินไป และลดการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้งานหนัก
  5. ลดอาการตาแห้งและการระคายเคืองตา
    การใช้งานดวงตาในระยะยาว เช่น การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือการอ่านหนังสือในระยะใกล้ ส่งผลให้เกิดอาการตาแห้งและระคายเคือง ลูทีนมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา ช่วยให้ดวงตาผลิตน้ำตามาเคลือบและปกป้องพื้นผิวของดวงตาได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ลดการเกิดอาการตาแห้งและความระคายเคืองได้
  6. ส่งเสริมสุขภาพดวงตาในทุกช่วงอายุ
    นอกจากการป้องกันปัญหาทางสายตาในผู้สูงอายุแล้ว ลูทีนยังมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดโรคตาต่างๆ ในทุกช่วงอายุ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นในวัยเด็กที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาสายตา หรือในวัยผู้ใหญ่ที่ต้องเผชิญกับการใช้งานดวงตาอย่างหนัก

สรุป ลูทีนมีบทบาทสำคัญในการปกป้องดวงตาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม การลดความเสียหายจากแสงสีฟ้า ช่วยเสริมการมองเห็นที่ชัดเจน และลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ การได้รับลูทีนอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่จะช่วยปกป้องดวงตาในระยะสั้น แต่ยังช่วยรักษาสุขภาพตาในระยะยาว


Placeholder image

        ซีแซนทีน (Zeaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องดวงตาและส่งเสริมสุขภาพการมองเห็น โดยเฉพาะในส่วนของจอประสาทตา (macula) ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ทำหน้าที่รับแสงและสร้างภาพที่ชัดเจน นี่คือประโยชน์ของซีแซนทีนต่อดวงตาและการมองเห็นในรายละเอียด
  1. ปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้า
    แสงสีฟ้าที่มาจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และทีวี สามารถสร้างความเสียหายให้กับจอประสาทตา ซีแซนทีนทำหน้าที่เสมือนฟิลเตอร์ธรรมชาติที่ช่วยดูดซับแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายก่อนที่จะเข้าสู่จอประสาทตา ทำให้ลดความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อจอประสาทตาในระยะยาว นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าตาและอาการปวดตาที่เกิดจากการจ้องมองหน้าจอเป็นเวลานาน
  2. ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (Age-related Macular Degeneration - AMD)
    โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็นในผู้สูงอายุ ซีแซนทีนมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้โดยการเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ในจอประสาทตาและปกป้องจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังช่วยให้เซลล์ของจอประสาทตาฟื้นตัวได้ดีขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยาวนานขึ้น
  3. ส่งเสริมการมองเห็นที่ชัดเจน
    ซีแซนทีนมีบทบาทสำคัญในการทำให้การมองเห็นของเราชัดเจน โดยเฉพาะในสภาพแสงที่แตกต่างกัน การมีซีแซนทีนในระดับที่เพียงพอในจอประสาทตาจะช่วยให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น ลดการกระจายแสงที่อาจรบกวนการมองเห็น และช่วยปรับการมองเห็นเมื่ออยู่ในสภาพแสงที่มีความเข้มต่างกัน
  4. ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก (Cataract)
    ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์ตาเกิดความขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ซีแซนทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเลนส์ตา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดต้อกระจก นอกจากนี้ยังช่วยลดการสะสมของโปรตีนผิดปกติที่เลนส์ตา ทำให้เลนส์ตาใสและสามารถทำหน้าที่ได้ดีขึ้น
  5. เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในดวงตา
    ดวงตาเป็นอวัยวะที่อ่อนแอต่อการติดเชื้อและการอักเสบ ซีแซนทีนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในดวงตา โดยช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดภาวะตาแดง (conjunctivitis) รวมถึงการอักเสบของจอประสาทตาที่อาจเกิดจากอนุมูลอิสระหรือการติดเชื้อ
  6. ลดอาการตาแห้ง
    การใช้สายตาในระยะเวลานานอาจทำให้เกิดภาวะตาแห้งได้ ซีแซนทีนช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดวงตา โดยเพิ่มการหลั่งน้ำตาและเสริมสร้างความแข็งแรงของผนังเซลล์ในดวงตา ทำให้ลดอาการระคายเคืองและอาการตาแห้งที่มักเกิดขึ้นในคนที่ทำงานหน้าจอเป็นเวลานาน
  7. สนับสนุนการทำงานร่วมกับลูทีน (Lutein)
    ซีแซนทีนมักทำงานร่วมกับลูทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบในจอประสาทตาด้วยกัน ทั้งคู่ทำงานร่วมกันในการปกป้องดวงตาจากความเสียหายที่เกิดจากแสงสีฟ้าและอนุมูลอิสระ การบริโภคซีแซนทีนและลูทีนในปริมาณที่เหมาะสมจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องดวงตาและการมองเห็น
  8. ส่งเสริมสุขภาพดวงตาในระยะยาว
    การบริโภคอาหารที่มีซีแซนทีนสูง หรือการเสริมด้วยอาหารเสริมที่มีซีแซนทีน ช่วยส่งเสริมสุขภาพดวงตาในระยะยาว โดยช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น ต้อกระจกและโรคจอประสาทตาเสื่อม นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสุขภาพการมองเห็นให้ดีขึ้นตลอดชีวิต

สรุป ซีแซนทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากสำหรับดวงตา ด้วยคุณสมบัติในการปกป้องจอประสาทตาจากแสงสีฟ้า ลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมและต้อกระจก รวมถึงเสริมสร้างการมองเห็นที่ชัดเจนในทุกสภาพแสง การเสริมซีแซนทีนจึงเป็นวิธีที่ดีในการดูแลดวงตาให้แข็งแรงและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนยาวนาน