มะเร็งตับ

มะเร็งตับ คือโรคที่เกิดจากการเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์ในเนื้อเยื่อตับ ซึ่งมีการขยายตัวรวดเร็วและไม่มีการควบคุม เมื่อเซลล์เหล่านี้รวมตัวเป็นก้อนเนื้อหรือเนื้องอกในตับ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับอย่างรุนแรง และส่งผลเสียต่อการขับสารพิษ การสังเคราะห์โปรตีน รวมถึงการจัดการกับสารอาหารภายในร่างกาย

มะเร็งตับมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รวมถึงการมีไขมันสะสมในตับ หากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้

อาการเริ่มแรกของมะเร็งตับมักไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรงอาจมีอาการท้องบวม ตัวเหลือง ตาเหลือง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือรู้สึกอ่อนเพลีย การตรวจคัดกรองหรือการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ


สัญญาณเตือนโรคมะเร็งตับ

สัญญาณเตือนของโรคมะเร็งตับ

  1. ปวดหรือแน่นบริเวณชายโครงขวา
    อาการปวดบริเวณชายโครงด้านขวาใกล้ตับ อาจเกิดขึ้นเนื่องจากตับโตขึ้นหรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ที่กดทับเนื้อเยื่อตับหรืออวัยวะใกล้เคียง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือปวดเป็นครั้งคราว

  2. เบื่ออาหาร หรือรู้สึกอิ่มเร็วเมื่อรับประทานอาหาร
    มะเร็งตับสามารถทำให้การย่อยอาหารไม่ดี ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วหรือไม่อยากอาหาร การเกิดการอักเสบในตับยังอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยและกำจัดสารพิษได้อย่างเหมาะสม

  3. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    มะเร็งตับมักทำให้ผู้ป่วยน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เซลล์มะเร็งต้องการพลังงานมากขึ้น และยังมีการลดประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารเพียงพอ

  4. ท้องอืด หรือรู้สึกว่าท้องโตขึ้นอย่างผิดปกติ
    อาการท้องอืดหรือแน่นท้องเกิดขึ้นจากการสะสมของของเหลวในช่องท้อง (ascites) ซึ่งเป็นผลจากการทำงานที่ไม่สมบูรณ์ของตับ มะเร็งที่โตขึ้นอาจทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดและของเหลวในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้มีการสะสมของของเหลวในช่องท้อง และทำให้ท้องบวมและแน่น

  5. อาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
    อาการดีซ่าน (jaundice) หรือการที่ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง เกิดขึ้นเนื่องจากตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบิน (bilirubin) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการสลายฮีโมโกลบินในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ บิลิรูบินจึงสะสมในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของผิวหนังและตาขาวเป็นสีเหลือง

แม้ว่ามะเร็งตับอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่หากพบอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างละเอียด การรักษามะเร็งตับในระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสการรักษาหายขาดได้


ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง และการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพในกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมาก มีกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับสูงกว่าประชากรทั่วไป ซึ่งเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมที่สัมผัสในชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้สามารถเตรียมตัวหรือเฝ้าระวังสุขภาพได้ดีขึ้น ดังนี้

  1. ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
    ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีในระยะยาวเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในการพัฒนาเป็นโรคมะเร็งตับ ไวรัสเหล่านี้ทำให้ตับอักเสบอย่างเรื้อรังและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเซลล์ตับ เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์ตับอาจเกิดการกลายพันธุ์และพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ควรได้รับการตรวจและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งตับ

  2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
    ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้บุคคลบางคนมีความเสี่ยงสูงขึ้น การมีประวัติสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็งตับหรือมีภาวะของโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคในคนรุ่นต่อไป แม้ว่าปัจจัยนี้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเฝ้าระวังและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นได้เร็วขึ้น

  3. ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน
    การดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่มะเร็งตับ ตับของคนที่บริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะได้รับความเสียหายและกลายเป็นพังผืด ทำให้เซลล์ตับเสียหายและอาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด

  4. ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบจากไขมันพอกตับ
    ไขมันพอกตับที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์เป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกินและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การสะสมของไขมันในตับจะทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ในอนาคต กลุ่มผู้ป่วยนี้ควรได้รับการดูแลและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น

  5. ผู้ที่มีการรับประทานยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ
    การรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับได้ ยาที่ใช้รักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคเรื้อรังหรือการรักษาทางจิตเวชบางชนิด อาจมีผลกระทบต่อตับ

  6. ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)
    ภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่เนื้อเยื่อตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและเกิดพังผืดที่ตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง เมื่อภาวะนี้ดำเนินไปในระยะเวลานาน เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งตับได้

ระยะต่างๆของโรคมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรงสูง เนื่องจากอวัยวะตับมีหน้าที่ที่สำคัญในการขจัดสารพิษ สร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย และควบคุมระดับสารอาหาร มะเร็งตับสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบต่อการทำงานของตับและระบบร่างกายอื่น ๆ การทำความเข้าใจระยะต่างๆ ของมะเร็งตับจะช่วยให้เราสามารถตระหนักถึงความรุนแรงของโรค และให้การรักษาที่เหมาะสมได้ในแต่ละระยะ

  1. ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
    ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีในระยะยาวเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในการพัฒนาเป็นโรคมะเร็งตับ ไวรัสเหล่านี้ทำให้ตับอักเสบอย่างเรื้อรังและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเซลล์ตับ เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์ตับอาจเกิดการกลายพันธุ์และพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ควรได้รับการตรวจและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งตับ

  2. ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
    ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้บุคคลบางคนมีความเสี่ยงสูงขึ้น การมีประวัติสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็งตับหรือมีภาวะของโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคในคนรุ่นต่อไป แม้ว่าปัจจัยนี้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเฝ้าระวังและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นได้เร็วขึ้น

  3. ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน
    การดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่มะเร็งตับ ตับของคนที่บริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะได้รับความเสียหายและกลายเป็นพังผืด ทำให้เซลล์ตับเสียหายและอาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด

  4. ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบจากไขมันพอกตับ
    ไขมันพอกตับที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์เป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกินและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การสะสมของไขมันในตับจะทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ในอนาคต กลุ่มผู้ป่วยนี้ควรได้รับการดูแลและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น

  5. ผู้ที่มีการรับประทานยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ
    การรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับได้ ยาที่ใช้รักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคเรื้อรังหรือการรักษาทางจิตเวชบางชนิด อาจมีผลกระทบต่อตับ

  6. ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)
    ภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่เนื้อเยื่อตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและเกิดพังผืดที่ตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง เมื่อภาวะนี้ดำเนินไปในระยะเวลานาน เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งตับได้


 

สงวนลิขสิทธิ์ © 2566 ทีมงานศูนย์งาดำ มาทีน่า แบล็คเซซามิน : Matina Black Sesame
เว็บไซต์นี้เป็นของนักธุรกิจผู้จัดจำหน่าย มิใช่เว็บไซต์ของ บริษัท พีคัสโซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท พีคัสโซ (ประเทศไทย) จำกัด