มะเร็งตับ คือโรคที่เกิดจากการเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์ในเนื้อเยื่อตับ ซึ่งมีการขยายตัวรวดเร็วและไม่มีการควบคุม เมื่อเซลล์เหล่านี้รวมตัวเป็นก้อนเนื้อหรือเนื้องอกในตับ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับอย่างรุนแรง และส่งผลเสียต่อการขับสารพิษ การสังเคราะห์โปรตีน รวมถึงการจัดการกับสารอาหารภายในร่างกาย
มะเร็งตับมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาทิ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก รวมถึงการมีไขมันสะสมในตับ หากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งอาจลุกลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายได้
อาการเริ่มแรกของมะเร็งตับมักไม่ชัดเจน แต่เมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรงอาจมีอาการท้องบวม ตัวเหลือง ตาเหลือง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือรู้สึกอ่อนเพลีย การตรวจคัดกรองหรือการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สัญญาณเตือของโรคมะเร็งตับ
- ปวดหรือแน่นบริเวณชายโครงขวา
อาการปวดบริเวณชายโครงด้านขวาใกล้ตับ อาจเกิดขึ้นเนื่องจากตับโตขึ้นหรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ที่กดทับเนื้อเยื่อตับหรืออวัยวะใกล้เคียง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายหรือปวดเป็นครั้งคราว
- เบื่ออาหาร หรือรู้สึกอิ่มเร็วเมื่อรับประทานอาหาร
มะเร็งตับสามารถทำให้การย่อยอาหารไม่ดี ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอิ่มเร็วหรือไม่อยากอาหาร การเกิดการอักเสบในตับยังอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายไม่สามารถย่อยและกำจัดสารพิษได้อย่างเหมาะสม
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
มะเร็งตับมักทำให้ผู้ป่วยน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเผาผลาญพลังงานของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เซลล์มะเร็งต้องการพลังงานมากขึ้น และยังมีการลดประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหารและการดูดซึมอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารเพียงพอ
- ท้องอืด หรือรู้สึกว่าท้องโตขึ้นอย่างผิดปกติ
อาการท้องอืดหรือแน่นท้องเกิดขึ้นจากการสะสมของของเหลวในช่องท้อง (ascites) ซึ่งเป็นผลจากการทำงานที่ไม่สมบูรณ์ของตับ มะเร็งที่โตขึ้นอาจทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดและของเหลวในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้มีการสะสมของของเหลวในช่องท้อง และทำให้ท้องบวมและแน่น
- อาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)
อาการดีซ่าน (jaundice) หรือการที่ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง เกิดขึ้นเนื่องจากตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบิน (bilirubin) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจากการสลายฮีโมโกลบินในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ บิลิรูบินจึงสะสมในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของผิวหนังและตาขาวเป็นสีเหลือง
แม้ว่ามะเร็งตับอาจไม่แสดงอาการชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่หากพบอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบและวินิจฉัยอย่างละเอียด การรักษามะเร็งตับในระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสการรักษาหายขาดได้
โรคมะเร็งตับเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง และการป้องกันหรือการดูแลสุขภาพในกลุ่มที่มีความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมาก มีกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับสูงกว่าประชากรทั่วไป ซึ่งเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อมที่สัมผัสในชีวิตประจำวัน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มเสี่ยงจะช่วยให้สามารถเตรียมตัวหรือเฝ้าระวังสุขภาพได้ดีขึ้น ดังนี้
- ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง
ผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซีในระยะยาวเป็นกลุ่มเสี่ยงหลักในการพัฒนาเป็นโรคมะเร็งตับ ไวรัสเหล่านี้ทำให้ตับอักเสบอย่างเรื้อรังและส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของเซลล์ตับ เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์ตับอาจเกิดการกลายพันธุ์และพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ควรได้รับการตรวจและเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดมะเร็งตับ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งตับ
ปัจจัยทางพันธุกรรมเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้บุคคลบางคนมีความเสี่ยงสูงขึ้น การมีประวัติสมาชิกในครอบครัวที่เป็นมะเร็งตับหรือมีภาวะของโรคที่เกี่ยวข้องกับตับ จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคในคนรุ่นต่อไป แม้ว่าปัจจัยนี้จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การเฝ้าระวังและการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้นได้เร็วขึ้น
- ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นระยะเวลานาน
การดื่มแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสาเหตุที่สำคัญของภาวะตับแข็ง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่มะเร็งตับ ตับของคนที่บริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะได้รับความเสียหายและกลายเป็นพังผืด ทำให้เซลล์ตับเสียหายและอาจเกิดการกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้ในที่สุด
- ผู้ที่มีภาวะตับอักเสบจากไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับที่ไม่เกิดจากแอลกอฮอล์เป็นภาวะที่พบได้บ่อยขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักเกินและผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน การสะสมของไขมันในตับจะทำให้เกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับได้ในอนาคต กลุ่มผู้ป่วยนี้ควรได้รับการดูแลและตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันโรคร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้น
- ผู้ที่มีการรับประทานยาบางชนิดที่เป็นอันตรายต่อตับ
การรับประทานยาที่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์ตับในระยะยาวจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับได้ ยาที่ใช้รักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคเรื้อรังหรือการรักษาทางจิตเวชบางชนิด อาจมีผลกระทบต่อตับ
- ผู้ที่มีภาวะตับแข็ง (Cirrhosis)
ภาวะตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่เนื้อเยื่อตับถูกทำลายอย่างต่อเนื่องและเกิดพังผืดที่ตับ ทำให้การทำงานของตับลดลง เมื่อภาวะนี้ดำเนินไปในระยะเวลานาน เซลล์ตับที่ถูกทำลายจะมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งตับได้
โรคมะเร็งตับเป็นหนึ่งในโรคมะเร็งที่พบได้บ่อยและมีความรุนแรงสูง เนื่องจากอวัยวะตับมีหน้าที่ที่สำคัญในการขจัดสารพิษ สร้างโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย และควบคุมระดับสารอาหาร มะเร็งตับสามารถพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีผลกระทบต่อการทำงานของตับและระบบร่างกายอื่น ๆ การทำความเข้าใจระยะต่างๆ ของมะเร็งตับจะช่วยให้เราสามารถตระหนักถึงความรุนแรงของโรค และให้การรักษาที่เหมาะสมได้ในแต่ละระยะ
- ระยะที่ 1 : มะเร็งตับระยะเริ่มต้น
ในระยะแรกของมะเร็งตับ (Stage 1) เซลล์มะเร็งจะเกิดขึ้นเฉพาะในบริเวณตับเท่านั้น โดยอาจมีขนาดเล็กกว่า 2 เซนติเมตร และยังไม่ลุกลามไปยังหลอดเลือดหรืออวัยวะข้างเคียง ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการที่ชัดเจน ทำให้ยากต่อการตรวจพบ อาการเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นได้อาจมีความรู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ปวดท้องบริเวณขวาบน หรือการรับรู้ถึงน้ำหนักที่ลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ
การตรวจพบมะเร็งตับในระยะนี้มักเกิดจากการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น การตรวจอัลตราซาวด์ หรือการตรวจเลือดที่แสดงค่า AFP (alpha-fetoprotein) ที่สูงขึ้น หากสามารถตรวจพบในระยะนี้ได้ โอกาสในการรักษาให้หายขาดสูงมาก เนื่องจากเซลล์มะเร็งยังมีขนาดเล็กและสามารถตัดออกได้ง่าย
- ระยะที่ 2 : มะเร็งตับลุกลามเฉพาะในตับ
มะเร็งตับในระยะที่ 2 (Stage 2) เริ่มลุกลามเข้าสู่เส้นเลือดที่อยู่ภายในตับ แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย ขนาดของก้อนมะเร็งอาจใหญ่ขึ้นกว่าระยะที่ 1 ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการที่ชัดเจนขึ้น เช่น อาการเจ็บท้องมากขึ้น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ และท้องอืด นอกจากนี้ยังมีโอกาสเกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง (ภาวะดีซ่าน) เนื่องจากการทำงานของตับที่เสื่อมลง
การรักษาในระยะนี้อาจยังเป็นไปได้ด้วยการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก หรือการรักษาด้วยการจี้ความร้อน (radiofrequency ablation) หรือฉายแสง หากก้อนมะเร็งยังไม่ลุกลามมากนัก โอกาสในการรักษาให้หายขาดยังคงมีอยู่ แต่โอกาสการเกิดมะเร็งซ้ำสูงขึ้น
- ระยะที่ 3 : มะเร็งตับลุกลามเข้าสู่หลอดเลือดและอวัยวะใกล้เคียง
เมื่อมะเร็งตับพัฒนาสู่ระยะที่ 3 (Stage 3) เซลล์มะเร็งจะเริ่มลุกลามเข้าไปในหลอดเลือดใหญ่ที่ส่งเลือดไปยังตับหรือเริ่มลุกลามไปยังอวัยวะที่อยู่ข้างเคียง เช่น ถุงน้ำดี การลุกลามนี้ทำให้การทำงานของตับถูกขัดขวางมากขึ้น ผู้ป่วยในระยะนี้จะเริ่มมีอาการที่เด่นชัดขึ้น อาทิ อาการปวดท้องอย่างรุนแรง ท้องบวมจากการสะสมน้ำในช่องท้อง (ascites) ตัวและตาเหลืองคล้ำชัดเจน น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และเหนื่อยง่ายมากขึ้น
ในระยะนี้ การรักษาอาจเน้นไปที่การควบคุมอาการและชะลอการลุกลามของโรค เช่น การใช้เคมีบำบัด การฉายแสง หรือการใช้ยารักษามะเร็งที่ออกฤทธิ์โดยตรงกับเซลล์มะเร็ง (targeted therapy) ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งและทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้นบางส่วน
- ระยะที่ 4 : มะเร็งตับระยะลุกลามทั่วร่างกาย
มะเร็งตับในระยะที่ 4 (Stage 4) เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งได้ลุกลามออกจากตับและกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ปอด กระดูก หรือสมอง ระยะนี้เป็นระยะที่รุนแรงที่สุดและการรักษาเพื่อให้หายขาดทำได้ยาก เนื่องจากการแพร่กระจายของมะเร็งทั่วร่างกาย
อาการในระยะนี้มักจะประกอบไปด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทั่วร่างกาย ท้องบวมมาก ตัวเหลืองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด น้ำหนักลดลงอย่างรุนแรง และอาการเหนื่อยล้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผู้ป่วยในระยะนี้อาจต้องการการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงที่เหลือ
©picassos 2022
เว็บไซต์นี้เป็นของนักธุรกิจผู้จัดจำหน่าย มิใช่เว็บไซต์ของ บริษัท พีคัสโซ (ประเทศไทย) จำกัด