
โรคภูมิแพ้เป็นปัญหาทางสุขภาพที่เกิดจากการตอบสนองที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันเมื่อได้รับสารกระตุ้นที่ปกติแล้วไม่ก่อให้เกิดอันตรายในคนทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่มีภูมิแพ้ ระบบภูมิคุ้มกันกลับมองว่าสารเหล่านี้เป็นสิ่งที่อันตราย และพยายามปกป้องร่างกายจากการบุกรุก โดยกระบวนการนี้ทำให้เกิดอาการต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรืออาการผื่นคันตามผิวหนัง ซึ่งอาการเหล่านี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและประเภทของสารที่เป็นตัวกระตุ้น
ตัวอย่างสารกระตุ้นที่พบบ่อยในผู้ที่มีภูมิแพ้ ได้แก่ ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ อาหารบางชนิด เช่น นม ถั่ว หรือไข่ และแมลงต่างๆ สารกระตุ้นเหล่านี้เรียกว่า "สารก่อภูมิแพ้" ซึ่งเมื่อเข้ามาในร่างกายจะไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้นำเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารเคมีที่ชื่อว่า "ฮีสตามีน" (histamine) มาทำงาน จนเกิดการอักเสบและอาการแพ้ขึ้น
อาการของโรคภูมิแพ้มีหลายระดับ ตั้งแต่อาการเล็กน้อยที่ทำให้ร่างกายรู้สึกไม่สบาย เช่น จาม หรือคันจมูก ไปจนถึงอาการรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เช่น ภาวะภูมิแพ้รุนแรง (anaphylaxis) ซึ่งเป็นการตอบสนองของร่างกายที่รวดเร็วและรุนแรงมาก โดยจะเกิดอาการบวม หายใจลำบาก และอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างเฉียบพลัน ทำให้เป็นเหตุการณ์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน


โรคภูมิแพ้ (Allergy) ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โรคภูมิแพ้ที่พบได้บ่อยในคนไทยมีหลายรูปแบบ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ ความชื้นในอากาศ ฝุ่นละออง รวมไปถึงสารเคมีต่าง ๆ ที่พบได้ในชีวิตประจำวัน

การป้องกันและดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้เป็นสิ่งสำคัญที่ควรให้ความสนใจ เนื่องจากโรคภูมิแพ้มีความหลากหลายและสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเราได้ ต่อไปนี้คือวิธีการที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้
การป้องกันโรคภูมิแพ้ไม่ได้เป็นเพียงการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ โดยการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี การควบคุมอารมณ์ และการให้ความรู้เกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ให้กับตนเองและคนรอบข้าง การใช้ชีวิตอย่างมีสติและใส่ใจจะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ