ไขมันในเลือดคืออะไร

ไขมันในเลือด (Blood Lipids) คืออะไร..?
ไขมันในเลือดคือไขมันที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด โดยส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในรูปของ "ไขมันบริสุทธิ์" แต่จะถูกจับกับโปรตีน เรียกว่า ไลโปโปรตีน (Lipoproteins) ซึ่งมีหลายชนิด แต่ละชนิดมีผลต่อสุขภาพต่างกัน แบ่งเป็น 4 ชนิดหลักที่ใช้ตรวจในรายงานผลเลือด ได้แก่

  1. เอชดีแอล คอเลสเตอรอล (HDL - High Density Lipoprotein)
    HDL เป็นไลโปโปรตีน (Lipoprotein) ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บกวาดคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย แล้วนำกลับไปที่ตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย เปรียบเสมือนรถขยะที่คอยทำความสะอาดหลอดเลือด

  2. แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL - Low Density Lipoprotein)
    HDL เป็นไลโปโปรตีน (Lipoprotein) ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บกวาดคอเลสเตอรอลส่วนเกินจากเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกาย แล้วนำกลับไปที่ตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย เปรียบเสมือนรถขยะที่คอยทำความสะอาดหลอดเลือด

  3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
    ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่พบมากที่สุดในร่างกาย เป็นแหล่งพลังงานสำรองที่สำคัญ ร่างกายได้รับไตรกลีเซอไรด์จากอาหารโดยตรง โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง และร่างกายยังสามารถสร้างขึ้นเองได้เมื่อรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมเป็นเนื้อเยื่อไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

  4. คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)
    Total Cholesterol คือ ค่ารวมของคอเลสเตอรอลทุกชนิดในเลือด รวมถึง HDL, LDL และ VLDL (Very Low-Density Lipoprotein ซึ่งเป็นไลโปโปรตีนอีกชนิดที่มีไตรกลีเซอไรด์เป็นส่วนประกอบหลัก) คอเลสเตอรอลเป็นสารไขมันที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย มีบทบาทในการสร้างเซลล์ ฮอร์โมน และน้ำดี แต่หากมีมากเกินไปจะส่งผลเสีย

ไขมันในเลือดสูง_ต้องมีค่าเท่าไหร่

ผลกระทบต่อร่างกาย
  1. เอชดีแอล คอเลสเตอรอล (HDL - High Density Lipoprotein)
    • HDL ช่วยลดความเสี่ยงของการสะสมคอเลสเตอรอลในผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดแข็ง (Atherosclerosis) และโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง ยิ่งมีระดับ HDL สูงเท่าไหร่ ยิ่งดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดเท่านั้น
    • ระดับที่เหมาะสม ควรมีระดับ HDL อย่างน้อย 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) ในผู้ชาย และอย่างน้อย 50 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิง
      • ผู้ชาย ≥ 40 mg/dL
      • ผู้หญิง ≥ 50 mg/dL
      • ≥ 60 mg/dL ขึ้นไป = ดีเยี่ยม

  2. แอลดีแอล คอเลสเตอรอล (LDL - Low Density Lipoprotein)
    • หากมีระดับ LDL สูงเกินไป คอเลสเตอรอลส่วนเกินจะไปสะสมและเกาะที่ผนังหลอดเลือดแดง ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว หนาขึ้น และตีบแคบลง (Atherosclerosis) ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากต่อ
      • โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ/อุดตัน: ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด เจ็บหน้าอก หัวใจวาย
      • โรคหลอดเลือดสมองตีบ/อุดตัน: ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
      • โรคความดันโลหิตสูง: เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดติดขัด
      • โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน: ทำให้เกิดอาการปวดขา ชา หรือแผลหายยาก
    • ระดับที่เหมาะสม ควรมีระดับ LDL ต่ำกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
      • น้อยกว่า 100 mg/dL = ดีเยี่ยม
      • 100–129 mg/dL = ยอมรับได้
      • 130–159 mg/dL = สูงระดับกลาง
      • 160–189 mg/dL = สูงมาก
      • ≥ 190 mg/dL = อันตราย

  3. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides)
    • หากมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเกินไป จะเพิ่มความเสี่ยงต่อ
      • โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง คล้ายคลึงกับ LDL โดยเฉพาะเมื่อมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงมาก
      • ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน: โดยเฉพาะหากระดับไตรกลีเซอไรด์สูงกว่า 1,000 mg/dL ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
      • โรคเบาหวานประเภท 2 และภาวะดื้ออินซูลิน
      • กลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) ซึ่งเป็นกลุ่มของภาวะผิดปกติที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง
      • ตับโต ม้ามโต
      • อาจเกิดปื้นเหลืองที่ผิวหนัง (eruptive xanthoma) ในกรณีที่ระดับสูงมาก
    • ระดับที่เหมาะสม ควรมีระดับไตรกลีเซอไรด์ต่ำกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
      • น้อยกว่า 150 mg/dL = ปกติ
      • 150–199 mg/dL = ค่อนข้างสูง
      • 200–499 mg/dL = สูง
      • ≥ 500 mg/dL = อันตรายมาก

  4. คอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol)
    • การมีคอเลสเตอรอลรวมสูง เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าอาจมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากระดับ LDL สูงและ HDL ต่ำ
    • ระดับที่เหมาะสม โดยทั่วไป ควรมีระดับ Total Cholesterol ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL) อย่างไรก็ตาม การพิจารณาความเสี่ยงควรดูค่าไขมันแต่ละชนิดควบคู่กันไป เนื่องจากบางคนอาจมีคอเลสเตอรอลรวมสูงแต่เป็นเพราะมี HDL สูง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี
      • น้อยกว่า 200 mg/dL = ปกติ
      • 200–239 mg/dL = ค่าก้ำกึ่ง (เสี่ยง)
      • ≥ 240 mg/dL = สูง
สัดส่วนสำคัญที่แพทย์ใช้วัดความเสี่ยงคือ Cholesterol Ratio Total Cholesterol ÷ HDL = ค่าที่ใช้ประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ
ค่าที่ดีต้องน้อยกว่า 5 ยิ่งต่ำยิ่งดี

ตัวอย่าง

ดูแลตนเองอย่างไรให้ห่างไกลไขมันในเลือดสูง

ดูแลตัวเองอย่างไร..? ป้องกันไขมันในเลือดสูงได้!

นอกจากการทำความเข้าใจความหมายและผลกระทบของไขมันในเลือดแต่ละชนิดแล้ว การป้องกันไขมันในเลือดสูงด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
  1. ปรับพฤติกรรมการกินอาหาร
    • ลดการบริโภคไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
      ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: เป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มระดับ LDL (ไขมันไม่ดี) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และลด HDL (ไขมันดี) ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเกิดหลอดเลือดแข็ง
      • ไขมันอิ่มตัว พบมากในเนื้อสัตว์ติดมัน หนังสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันสูง (เช่น นมเต็มไขมัน เนย ชีส) น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม และอาหารแปรรูป
      • ไขมันทรานส์ พบในอาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วน (Partially hydrogenated oils) เช่น มาการีน ขนมอบกรอบ เบเกอรี่ คุกกี้ พาย โดนัท ฟาสต์ฟู้ด และอาหารทอดซ้ำ
      • เลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน เลาะหนังออก ดื่มนมพร่องมันเนย หรือนมไขมันต่ำ เลือกใช้น้ำมันพืชที่ไม่ผ่านการเติมไฮโดรเจน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันคาโนล่า น้ำมันมะกอก หลีกเลี่ยงอาหารทอดซ้ำและอาหารแปรรูปที่ระบุว่ามีไขมันทรานส์
    • เพิ่มการบริโภคไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน
      ไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลด LDL และไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่ม HDL โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือดด้วย
      • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว พบในอะโวคาโด น้ำมันมะกอก ถั่วเปลือกแข็ง (อัลมอนด์ ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์)
      • ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6)
        • โอเมก้า 3 พบในปลาทะเลน้ำลึก (แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน ทูน่า) เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย วอลนัท
        • โอเมก้า 6 พบในน้ำมันพืชส่วนใหญ่ เช่น น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง (ควรบริโภคในปริมาณที่สมดุลกับโอเมก้า 3)
        • กินปลาทะเล 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพิ่มอะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง หรือเมล็ดพืชในมื้ออาหาร หรือใช้ไขมันไม่อิ่มตัวในการปรุงอาหารแทนไขมันอิ่มตัว
    • เพิ่มใยอาหาร (Fiber)
      ใยอาหารชนิดละลายน้ำ จะจับกับคอเลสเตอรอลในลำไส้และขับถ่ายออกไป ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลเข้าสู่กระแสเลือด นอกจากนี้ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
      • ใยอาหารชนิดละลายน้ำ (Soluble Fiber) พบในข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ถั่วต่างๆ (ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลูกไก่) แอปเปิล ส้ม เบอร์รี่ แครอท
      • กินผักและผลไม้สดให้หลากหลายและเพียงพอในแต่ละวัน เลือกธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท แทนข้าวขาวหรือขนมปังขาว
    • ลดการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี
      น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี การบริโภคมากเกินไปจะถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์และสะสมในรูปไขมัน ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น และยังอาจนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินและโรคเบาหวาน
      • ลดเครื่องดื่มรสหวาน ขนมหวาน ลูกอม ขนมปังขาว ข้าวขาว ข้าวโพดขัดสี เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี มันเทศ

  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    • เน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strength Training) เช่น ยกน้ำหนัก บอดี้เวท อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
    • ออกกำลังกายแบบแอโรบิกปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น 30 นาที/วัน 5 วัน/สัปดาห์) หรือออกกำลังกายแบบเข้มข้นอย่างน้อย 75 นาทีต่อสัปดาห์
    • ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน
    • การออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับ HDL (ไขมันดี) ซึ่งช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลส่วนเกินออกจากร่างกาย
    • การออกกำลังกายช่วยเผาผลาญแคลอรี่และไขมัน ทำให้ระดับ LDL และไตรกลีเซอไรด์ลดลง
    • ช่วยเผาผลาญพลังงาน ทำให้ง่ายต่อการควบคุมน้ำหนัก ซึ่งส่งผลดีต่อระดับไขมันในเลือดโดยรวม
    • ปรับปรุงการทำงานของอินซูลิน ช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น ซึ่งสำคัญต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและไตรกลีเซอไรด์
    • ลดการอักเสบ: การออกกำลังกายช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด

  3. ควบคุมน้ำหนัก
    • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เป็นตัวช่วย (BMI = น้ำหนัก (กิโลกรัม) / ส่วนสูง (เมตร)^2) สำหรับคนเอเชีย ควรมี BMI อยู่ในช่วง 18.5 – 22.9 kg/m2
    • ลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี หากมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ควรลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการปรับพฤติกรรมการกินและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
    • ไขมันในร่างกายส่วนเกิน โดยเฉพาะไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้อง (ไขมันในช่องท้อง) มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูง HDL ต่ำ และ LDL สูง
    • ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งส่งผลให้ตับสร้างไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้น
    • การมีน้ำหนักเกินทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

  4. งดสูบบุหรี่ - ลดแอลกอฮอล์
    • การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับ HDL ลดลงอย่างรวดเร็ว
    • การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและบีบตัว เพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ
    • การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับไตรกลีเซอไรด์สูงขึ้น เนื่องจากแอลกอฮอล์ถูกเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอไรด์ในตับ
    • แอลกอฮอล์ให้พลังงานสูง ซึ่งหากได้รับมากเกินไปจะถูกสะสมเป็นไขมัน ทำให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น

  5. ตรวจสุขภาพประจำปี
    • รับการตรวจเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจระดับไขมันในเลือด (Lipid Profile) ซึ่งจะวัดค่า HDL, LDL, Triglyceride และ Total Cholesterol
    • ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หรือตามคำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไขมันในเลือดสูง หรือมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
    • ไขมันในเลือดสูงเป็น "ฆาตกรเงียบ" เพราะมักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น หัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง
    • ช่วยให้สามารถทราบระดับไขมันของตนเอง และดำเนินการแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้ทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อหลอดเลือดอย่างถาวร

ความสัมพันธ์ของไขมันต่างๆในเลือด

ไขมันในเลือด ไม่ได้ทำงานแยกส่วนกัน แต่มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนในร่างกาย เปรียบเสมือนเครือข่ายการขนส่งที่ทำงานร่วมกัน เพื่อให้คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสารจำเป็นสำหรับเซลล์ต่างๆ สามารถเดินทางไปยังจุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากสมดุลของเครือข่ายนี้เสียไป ก็จะนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพที่ร้ายแรงได้

  1. ความสัมพันธ์ระหว่าง HDL และ LDL "การต่อสู้เพื่อความสมดุล"
    นี่คือความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดที่มักถูกกล่าวถึงในเรื่องไขมันในเลือด
    • LDL (ไขมันร้าย) ทำหน้าที่ขนส่งคอเลสเตอรอลจากตับไปยังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายเพื่อใช้ประโยชน์ แต่เมื่อมี LDL มากเกินไป LDL จะไปสะสมในผนังหลอดเลือดแดง ก่อให้เกิดการอักเสบและเป็นจุดเริ่มต้นของคราบไขมัน (plaque) ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลง (Atherosclerosis)
    • HDL (ไขมันดี) ทำหน้าที่ "เก็บกวาด" หรือ "ขนกลับ" โดยการนำคอเลสเตอรอลส่วนเกินที่สะสมอยู่ในผนังหลอดเลือดและเซลล์ต่างๆ กลับไปยังตับ เพื่อให้ตับกำจัดทิ้งจากร่างกาย
    • ความสัมพันธ์
      • ยิ่ง HDL สูง และ LDL ต่ำ ยิ่งดี เปรียบเหมือนมีรถขยะ (HDL) ที่ทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพในการเก็บขยะ (LDL ที่สะสม) ออกจากถนน (หลอดเลือด) ได้รวดเร็ว ทำให้ถนนสะอาดและไม่เกิดการอุดตัน
      • ยิ่ง HDL ต่ำ และ LDL สูง ยิ่งอันตราย หมายถึงมีขยะ (LDL) มากมาย แต่รถขยะ (HDL) มีน้อยหรือทำงานไม่ดี ทำให้ขยะสะสมมากขึ้นบนถนน กีดขวางการจราจร (การไหลเวียนเลือด) และนำไปสู่การอุดตัน
      • อัตราส่วน LDL/HDL บางครั้งแพทย์อาจพิจารณาอัตราส่วนนี้ด้วย เพราะเป็นตัวบ่งชี้ความสมดุลระหว่างไขมันดีและไขมันร้าย ค่าที่ต่ำกว่า 2.5 มักจะถือว่าดีกว่า (เช่น ถ้า LDL 100, HDL 50 จะได้อัตราส่วน 2)

  2. ความสัมพันธ์ระหว่าง Triglyceride กับ HDL และ LDL
    ไตรกลีเซอไรด์เป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญ และมีความสัมพันธ์กับ HDL และ LDL อย่างใกล้ชิด
    • Triglyceride (ไตรกลีเซอไรด์) เป็นรูปแบบหลักของไขมันที่สะสมในร่างกายเพื่อเป็นแหล่งพลังงานสำรอง ส่วนใหญ่ได้จากการบริโภคอาหาร (โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตและไขมันส่วนเกิน) และตับก็สามารถสร้างเองได้ การมีไตรกลีเซอไรด์สูงบ่งชี้ถึงภาวะที่ร่างกายมีพลังงานส่วนเกินสะสมมาก
    • ความสัมพันธ์กับ HDL
      • ไตรกลีเซอไรด์สูงมักมาพร้อมกับ HDL ต่ำ เมื่อระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้น มักจะพบว่าระดับ HDL มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากกระบวนการแลกเปลี่ยนไขมันระหว่างไลโปโปรตีนในกระแสเลือด โดยไลโปโปรตีนที่ขนส่งไตรกลีเซอไรด์ (เช่น VLDL) จะแลกเปลี่ยนไตรกลีเซอไรด์กับคอเลสเตอรอลใน HDL ทำให้ HDL มีขนาดเล็กลงและถูกกำจัดออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น จึงส่งผลให้ HDL ต่ำลง
      • ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น การมีไตรกลีเซอไรด์สูงร่วมกับ HDL ต่ำเป็น "ชุดคอมโบ" ที่อันตรายอย่างยิ่งต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เพราะเป็นสัญญาณว่าร่างกายมีการเผาผลาญไขมันผิดปกติ และมีไขมันสะสมในหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น
    • ความสัมพันธ์กับ LDL
      • ไตรกลีเซอไรด์สูงมักเกี่ยวข้องกับ LDL ที่มีขนาดเล็กลงและหนาแน่นขึ้น (Small, Dense LDL) แม้ว่าไตรกลีเซอไรด์เองจะไม่ได้เป็นส่วนประกอบหลักของ LDL แต่การมีไตรกลีเซอไรด์สูงมักทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ LDL ให้มีขนาดเล็กลงและมีความหนาแน่นสูงขึ้น (sdLDL)
      • ทำไม sdLDL จึงอันตรายกว่า sdLDL สามารถแทรกซึมเข้าสู่ผนังหลอดเลือดได้ง่ายกว่า LDL ปกติ และถูกออกซิไดซ์ (oxidized) ได้ง่าย ซึ่งเป็นกระบวนการที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและการสะสมของคราบไขมันในผนังหลอดเลือดได้เร็วยิ่งขึ้น
    • อัตราส่วน Triglyceride/HDL เป็นอีกหนึ่งตัวบ่งชี้ความเสี่ยงที่แพทย์อาจใช้พิจารณา ค่าที่ต่ำกว่า 2 มักจะดีกว่า บ่งบอกถึงภาวะเมตาบอลิซึมที่ดีและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

  3. ความสัมพันธ์ของ Total Cholesterol
    • Total Cholesterol (คอเลสเตอรอลรวม) คือผลรวมของคอเลสเตอรอลทั้งหมดในเลือด ซึ่งรวมถึง HDL-C, LDL-C และประมาณ 1 ใน 5 ของไตรกลีเซอไรด์ (ซึ่งเป็นส่วนประกอบของ VLDL-C)
    • ความสัมพันธ์
      • เป็นค่าเริ่มต้น เป็นค่าแรกที่ใช้ในการประเมินเบื้องต้น หากคอเลสเตอรอลรวมสูง อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าไขมันชนิดใดชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดมีปัญหา
      • ต้องพิจารณาร่วมกับชนิดอื่น การดูเพียง Total Cholesterol อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะบอกความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ ตัวอย่างเช่น คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจมี Total Cholesterol สูงได้ ถ้า HDL สูงมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ในทางกลับกัน คนที่มี Total Cholesterol อยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่อาจมี LDL สูงและ HDL ต่ำ ซึ่งยังคงมีความเสี่ยงสูง
      • สูตรคำนวณ LDL โดยทั่วไป LDL-C มักคำนวณจาก Total Cholesterol, HDL-C และ Triglyceride (โดยสูตร Friedewald: LDL-C = Total Cholesterol - HDL-C - (Triglycerides/5)) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่าเหล่านี้มีความสัมพันธ์กันทางคณิตศาสตร์ด้วย (อย่างไรก็ตาม สูตรนี้อาจมีข้อจำกัดในกรณีที่ไตรกลีเซอไรด์สูงมาก)
      • Non-HDL Cholesterol เป็นอีกหนึ่งค่าที่ได้รับความสนใจมากขึ้น คำนวณได้จาก Total Cholesterol - HDL Cholesterol ค่านี้รวมคอเลสเตอรอลในไลโปโปรตีนที่ "ไม่ดี" ทั้งหมด (LDL, VLDL, IDL, Lp(a)) ซึ่งให้ภาพรวมของ "ไขมันร้าย" ในร่างกายได้ดีกว่า LDL เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง